ยอดรถ กระบะ ในไทย 7 เดือนแรกปี 2568 รวมเพียง 85,023 คัน ลดลงกว่า 17.3% แต่เจ้าตลาดอย่าง โตโยต้า–อีซูซุ–ฟอร์ด ยังกวาดส่วนแบ่งกว่า 83% ด้วยโปรแรงและเครือข่ายศูนย์บริการแน่น
ยอดขายรวม (Pure Pick up): 85,023 คัน ลดลง 17.3% จากปีก่อน
สาเหตุหลัก: เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น หนี้ครัวเรือนสูง การเมืองไม่แน่นอน สถาบันการเงินเข้มงวด
เจ้าตลาดยังแข็งแรง:
โตโยต้า 40,803 คัน
อีซูซุ 30,232 คัน
ฟอร์ด 6,659 คัน
รวมกันครองส่วนแบ่งถึง 83.6% ของตลาด
สถานการณ์ของค่ายจีน
เปิดตัวใน Motor Show 2025 ราคา 1.699 ล้านบาท (นำเข้า CBU)
ขายไม่ดี → BYD ยกเลิกทำตลาด
แผนใหม่: เปิดสายการผลิต กระบะ Plug-in Hybrid รุ่นใหม่ (ช่วงล่างแหนบ) ที่โรงงานระยอง ปี 2569
ราคา 1.189–1.389 ล้านบาท
เปิดตัวเป็น กระบะ Hybrid รุ่นแรกในไทย แต่ขายไม่ออกเพราะราคาแพง
มีแนวโน้มปรับไปเน้นรุ่น ดีเซล
ทำตลาดมาหลายปี แต่ยอดขายยังไม่พ้นหลักร้อย/เดือน
แม้ถูกกว่าญี่ปุ่น (รุ่นท็อป 889,000 บาท) แต่ภาพลักษณ์ความทนทานสู้ไม่ได้
หันไปขาย ฟลีตราชการ
Deepal Hunter K50 (REEV): ราคา 1.099 ล้านบาท เคลมวิ่งได้ 900 กม. แต่ขายแค่หลักร้อย
King Long Dracon (EV 100%): เคยทดสอบที่เชียงใหม่ แต่ปัจจุบันเงียบ
RIDDARA: ตั้งเป้า 5,000 คัน/ปี แต่พึ่งยอดขายจาก หน่วยงานราชการ เป็นหลัก
ทำไม กระบะ จีน “ไปไม่รอด”
ราคาแพง: หลายรุ่นแตะหลัก ล้านบาทขึ้นไป
เทคโนโลยีไม่ตรงใจ: มักเป็น EV/Hybrid แต่ตลาดต้องการดีเซลใช้งานหนัก
ความกังวลหลังการขาย: ศูนย์บริการ–อะไหล่–ความทนทานยังไม่มั่นใจ
ความเสี่ยงสูง: ผู้ซื้อกลัวถูกทิ้งหากค่ายถอนตัว ราคาขายต่อเกือบศูนย์
เจอแรงกดดัน: โตโยต้า–อีซูซุ–ฟอร์ด อัดโปรแรง ไม่มีช่องให้แบรนด์ใหม่
สรุปแถมวิเคราะห์
ปิกอัพจีนเจอทางตัน:
ราคาสูง เทคโนโลยีไม่ตรงความต้องการ
ผู้บริโภคกลัวเสี่ยง ขายต่อแทบไม่มีราคา
เจ้าตลาดญี่ปุ่น–อเมริกันยังแข็งแรง: ด้วยเครือข่ายศูนย์บริการ ความทนทาน และแคมเปญขายต่อเนื่อง
ตลาดปิกอัพไทยจึงยังคงเป็น “สมรภูมิที่แข็งแกร่งที่สุด” ไม่ง่ายสำหรับแบรนด์ใหม่ โดยเฉพาะจีนที่เคยสำเร็จในตลาดรถนั่งและ EV
ที่มา MGR Online