นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่เจ๋งสำหรับกรณีที่ผู้ใช้ iPhone ต้องเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะใช้โปรแกรมนี้กันสักเท่าไรหรอก แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ ซึ่งมีโปรแกรมช่วยฉุกเฉินแบบนี้ไว้ ก็อุ่นใจได้อยู่ ลองมาดูวิธีการทำงานของฟีเจอร์นี้ พร้อมการติดตั้งต่าง ๆ กันดูครับ
ฟีเจอร์ Crash Detection ใช้การตรวจจับอุบัติเหตุการกระแทก หรือแรงเหวี่ยง โดยทำงานบน iPhone หรือ Apple Watch เพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หาก iPhone หรือ Apple Watch ของตรวจพบอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง ระบบก็จะเชื่อมต่อไปยังบริการฉุกเฉินได้
ขอบคุณคลิปทดสอบจาก : TECHRAX
วิธีการทำงานของการตรวจจับการชน Crash Detection
การตรวจจับการชนได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง เช่น การชนด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง และการพลิกคว่ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับรถเก๋ง มินิแวน รถเอสยูวี รถกระบะ และรถยนต์โดยสารอื่น ๆ เมื่อตรวจพบอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง iPhone หรือ Apple Watch จะส่งเสียงเตือนและแสดงการแจ้งเตือนไปยังหน่วยบริการฉุกเฉิน
- iPhone จะอ่านการแจ้งเตือน ในกรณีที่คุณไม่เห็นหน้าจอ หากคุณมีเพียงโทรศัพท์ หน้าจอจะแสดงแถบเลื่อนการโทรฉุกเฉิน และโทรศัพท์ของคุณจะสามารถโทรหาบริการฉุกเฉินได้
- Apple Watch จะสั่นและสะกิดข้อมือของคุณ และตรวจสอบสวัสดิภาพของคุณบนหน้าจอ หาก Apple Watch ไม่ได้เชื่อมต่อเซลลูลาร์หรือเชื่อมต่อ Wi-Fi หน้าจอจะแสดงแถบเลื่อนการโทรฉุกเฉินขึ้นมา หาก Apple Watch ที่มีเซลลูลาร์หรือเชื่อมต่อกับ Wi-Fi อยู่ จะสามารถโทรหาบริการฉุกเฉินได้อัตโนมัติ
- สามารถเลือกโทรหาบริการฉุกเฉินหรือปิดการแจ้งเตือนได้เองได้ (การตั้งค่าด้านล่าง)
- หากคุณไม่สามารถจับอุปกรณ์ของคุณได้ ระบบจะโทรหาบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติหลังจากเกิดความล่าช้า 20 วินาที
- หากคุณได้เพิ่มผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินแล้ว อุปกรณ์ของคุณจะส่งข้อความเพื่อแชร์ตำแหน่งที่ตั้งของคุณและบอกให้พวกเขาทราบว่าคุณประสบอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง
- หากคุณตั้งค่า ID ทางแพทย์ อุปกรณ์ของคุณจะแสดงแถบเลื่อน ID ทางแพทย์ เพื่อให้หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินเข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์ได้
หากรถมีวิธีการตรวจจับการชนและโทรออกได้แบบครบวงจร กระบวนการนั้นจะดำเนินการต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง การตรวจจับการชนจะไม่ยกเลิกการโทรฉุกเฉินที่อยู่ระหว่างดำเนินการบน iPhone ของคุณ การตรวจจับการชนจะยกเลิกสายโทรต่อเนื่องแบบไม่ฉุกเฉินบน iPhone หรือ Apple Watch ของคุณ
ทำการโทรฉุกเฉินบน iPhone หรือ Apple Watch ของคุณหลังจากประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง
iPhone หรือ Apple Watch ของคุณสามารถเชื่อมต่อคุณกับบริการฉุกเฉินได้หลังจากประสบอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง แม้ว่าคุณจะไม่ตอบสนองก็ตาม
- หากคุณสามารถตอบกลับได้
-
- หากคุณต้องการติดต่อบริการฉุกเฉิน ให้ปัดแถบเลื่อนการโทรฉุกเฉินบนหน้าจออุปกรณ์ของคุณ อุปกรณ์ของคุณจะโทรไปยังบริการฉุกเฉิน จากนั้นคุณสามารถพูดคุยกับหน่วยกู้ภัยได้
- หากคุณไม่ต้องการติดต่อบริการฉุกเฉิน ให้แตะยกเลิก และยืนยันว่าคุณไม่จำเป็นต้องรับบริการฉุกเฉิน
-
- หากคุณไม่ตอบสนอง
-
- หากคุณยังไม่ได้โทรหรือยกเลิกการแจ้งเตือนหลังจากผ่านไป 10 วินาที อุปกรณ์ของคุณจะเริ่มนับถอยหลังอีก 10 วินาที ในระหว่างการนับถอยหลังนี้ อุปกรณ์ของคุณจะส่งเสียงดังเพื่อเรียกให้คุณสนใจ iPhone ของคุณจะสั่นอย่างรุนแรง ส่วน Apple Watch ของคุณจะสะกิดอย่างรุนแรง
- หากคุณยังคงไม่ตอบสนอง อุปกรณ์ของคุณจะโทรหาบริการฉุกเฉินเมื่อสิ้นสุดการนับถอยหลัง
- เมื่ออุปกรณ์ของคุณทำการโทรอัตโนมัตินี้ เครื่องจะเล่นข้อความเสียงแบบวนซ้ำไปยังหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินและเปิดเสียงผ่านลำโพงของอุปกรณ์ของคุณ ข้อความนี้แจ้งบริการฉุกเฉินว่าอุปกรณ์ Apple ของคุณตรวจพบอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรงและคุณไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแชร์พิกัดละติจูดและลองจิจูดโดยประมาณของคุณพร้อมรัศมีการค้นหา
- ข้อความจะวนซ้ำทุกๆ 5 วินาที แต่หลังจากครั้งแรก ข้อความจะเล่นโดยลดระดับเสียงลง เพื่อให้คุณหรือคนที่อยู่ใกล้ๆ สามารถสนทนาทางโทรศัพท์กับหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินได้ คุณยังสามารถหยุดข้อความที่บันทึกไว้ได้
-
การตั้งค่าอุปกรณ์สำหรับกรณีฉุกเฉิน
- บน iPhone และ Apple Watch รุ่นที่รองรับ การตรวจจับการชนจะเปิดไว้ตามค่าเริ่มต้น
- หากต้องการแจ้งเตือนผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินของคุณและแชร์ ID ทางแพทย์ของคุณกับหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน ให้ตั้งค่า ID ทางแพทย์ของคุณและผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินในแอปสุขภาพ
- หากต้องการแชร์ตำแหน่งที่ตั้งกับผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินของคุณ ให้เปิดบริการหาตำแหน่งที่ตั้งสำหรับ SOS ฉุกเฉิน: บน iPhone ให้แตะการตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย > บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง > บริการของระบบ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าการโทรฉุกเฉินและ SOS เปิดอยู่
ปิดการตรวจจับการชน
- คุณสามารถปิดการแจ้งเตือนและการโทรฉุกเฉินอัตโนมัติหลังจากประสบอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรงได้ เมื่อคุณปิดการแจ้งเตือนและการโทรเหล่านี้บนอุปกรณ์ที่จับคู่เครื่องใดเครื่องหนึ่ง คุณจะปิดการแจ้งเตือนเหล่านี้ในอุปกรณ์อื่นๆ ที่จับคู่ไว้โดยอัตโนมัติ
-
- บน iPhone
-
- เปิดแอปการตั้งค่า
- แตะ SOS ฉุกเฉิน
- ปิดการโทรหลังจากเกิดการชนที่รุนแรง
-
- บน Apple Watch
- เปิดแอป Apple Watch ใน iPhone
- ในแท็บ Apple Watch ของฉัน ให้แตะ SOS ฉุกเฉิน
- ปิดการโทรหลังจากเกิดการชนที่รุนแรง
- บน iPhone
-
การตรวจจับการชนและความเป็นส่วนตัว
ข้อมูลเซ็นเซอร์จากอุปกรณ์ของคุณจะถูกใช้เพื่อตรวจจับอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง ข้อมูลเซ็นเซอร์ทั้งหมดที่ใช้ตรวจจับการชนที่รุนแรงจะได้รับการประมวลผลในอุปกรณ์และถูกทิ้งหลังจากตรวจพบการชน เว้นแต่ว่าคุณยินยอมที่จะแชร์ข้อมูลของคุณเพื่อปรับปรุงการตรวจจับการชน ตัวอย่างเช่น จะมีการใช้ไมโครโฟนบน iPhone ของคุณเพื่อตรวจจับระดับเสียงที่ดัง ลักษณะของการชน หากคุณตกลงที่จะแชร์ข้อมูลของคุณเพื่อปรับปรุงการตรวจจับการชน ระดับเสียงจะถูกแชร์กับ Apple ไฟล์เสียงดิบจะไม่ถูกรวบรวมหรือจัดเก็บเพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจจับการชนหรือเพื่อปรับปรุงการตรวจจับการชน
หาก iPhone หรือ Apple Watch ของคุณตรวจพบอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรงและติดต่อบริการฉุกเฉิน อุปกรณ์ดังกล่าวจะรวมตำแหน่งที่ตั้งอุปกรณ์ของคุณเป็นพิกัดละติจูดและลองจิจูด การโทรจะแชร์ตำแหน่งที่ตั้งของคุณไม่ว่าคุณจะเปิดใช้งานบริการหาตำแหน่งที่ตั้งไว้หรือไม่
1. การตรวจจับการชนไม่สามารถตรวจจับอุบัติเหตุรถชนได้ทั้งหมด
2. การโทรหาบริการฉุกเฉินในบางประเทศหรือภูมิภาคอาจต้องใช้การป้อนข้อมูลด้วยตนเอง เช่น “กด 1 สำหรับ….“ การตรวจจับการชนไม่สามารถเลือกตัวเลือกในเมนูโดยอัตโนมัติเพื่อทำการแจ้งเตือนบริการฉุกเฉินให้เสร็จสมบูรณ์ได้ แต่ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉินของคุณจะยังคงได้รับแจ้ง
สำหรับ iPhone และ Apple Watch รุ่นต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกับการตรวจจับการชนกันได้ รองรับกับรุ่นเหล่านี้ :
- iPhone 14 และ iPhone 14 Pro รุ่นต่าง ๆ ที่มี iOS เวอร์ชั่นล่าสุด
- Apple Watch Series 8
- Apple Watch SE (รุ่นที่ 2)
- Apple Watch Ultra ที่มี watchOS เวอร์ชั่นล่าสุด
การโทรฉุกเฉินจะใช้การเชื่อมต่อเซลลูลาร์หรือการโทรผ่าน Wi-Fi ด้วยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจาก Apple Watch หรือ iPhone ของคุณเท่านั้น
ทั้งนี้ฟีเจอร์ที่ไม่มีใครอยากจะต้องใช้นี้ อาจจะสร้างประโยชน์ให้ก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญคุณควรขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท มีสติให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้บริการฉุกเฉินนี้จะดีที่สุดนะครับ