หลังการเปิดตัว Mazda CX-60 เอสยูวี 5 ที่นั่งครั้งแรกกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและพลังเสียบปลั๊ก 327 แรงม้าพร้อมสู้กับคู่แข่งยุโรปเต็มรูปแบบ
โดยสาวกที่รอคอยว่าแล้วเมื่อไหร่เก๋งใหญ่อย่าง Mazda 6 นั้นจะออกมายลโฉมจริงกันเสียทีแต่ล่าสุดนักออกแบบอิสระวาดฝันสร้างภาพเรนเดอร์กับว่าที่เก๋งใหญ่เจเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งเป็นการยำดีไซน์ส่วนหน้าของ Mazda CX-60 รวมถึงนำดีไซน์ตัวรถของ Mazda 3 มาขยายให้ดูดีมีเสน่ห์ จึงกลายเป็นเรนเดอร์ที่ลงตัว สมสง่าแต่แฝงความเป็น Mazda ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้าทรงซิกเนเจอร์วิงแนวเข้มมาเท่ด้วยไฟหน้า Projector แบบ LED กันชนหน้าทรงเท่ ไฟท้ายวงกลม LED พร้อมท่อไอเสีย 4 ท่อ และหลังคารถที่ลาดลงแบบเดียวกับรถสปอร์ต
ภายในเอกลักษณ์เฉพาะด้วยเบาะนั่งหนังแท้ Nappa มาตรวัดดิจิทัล TFT-LCD 12.3 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พร้อมระบบ Mazda Connect infotainment รองรับ Apple Car Play ไร้สาย และ Android Auto ผ่านปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander พร้อมลำโพงคุณภาพ BOSE 12 จุด และจอแสดงการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า Windshield Active Driving Display ขนาดใหญ่
ด้านขุมพลังจะยกชุดมาจาก Mazda CX-60 ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล e-SKYACTIV และขุมพลังเสียบปลั๊กหรือ Plug In Hybrid e-SKYACTIV PHEV มาใช้เป็นรุ่นแรกโดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.5 ลิตร 4 สูบ รหัสPY-VPS 192 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 261 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ลิเธียมไออนที่มีความจุ 17.8 kWh วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 60 กม. และทำงานร่วมกันจะได้พลังมากถึง 327 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมระบบการขับขี่ Mazda Intelligent Drive Select (Mi-Drive) ที่เลือกได้ถึง 5 โหมดได้แก่ Namely Normal, Sport, Off-Road, Towing และ EV
พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง e-Skyactiv X 3.0 ลิตรกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ e-Skyactiv D 3.3 ลิตร โดยทั้งสองเครื่องจับคู่กับระบบ Mild Hybrid MHEV 48 V โดยทุกขนาดขุมพลังจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 8 สปีด เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ i-Activ AWD พร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการทรงตัวขณะเข้าโค้ง KPC (Kinemetic Posture Control) เบื่องต้นการเปิดตัว Mazda 6 เจนใหม่นั้นจะเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2022 หรือ ปี 2023 โดยหน้าตาจริง เทคโนโลยีที่ใส่มานั้นจะดูดดีขนาดไหนติดตามกันในครั้งต่อไป
ที่มา Carscoops