หลังจากเปิดตัวโฉมใหม่ Mercedes-Benz G-Class เจน 3 ในรหัส W465 ไม่นานคราวนี้ก็มาถึงเวอร์ชันแรงจากโรงงานอย่าง Mercedes-AMG G63 อย่างเป็นทางการในไทย
Mercedes-AMG G63 เจนใหม่นี้ยกงานวิศวกรรมยกมาจากรหัส W463 คลุกเคล้ากันจนลงตัวในร่างทรงกล่องตัวแรง
มาพร้อมดีไซน์ที่สะท้อนความแข็งแกร่งเหนือกาลเวลา ด้วยการออกแบบรอบคันแบบ AMG bodystyling ตกแต่งด้วยกระจังหน้าแบบ AMG Specific Grille และกันชนหน้าแบบ AMG-specific front bumper เพื่อเพิ่มความสปอร์ตดุดัน ทั้งยังช่วยในด้านแอโรไดนามิกและการระบายอากาศ ผสานกับไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยและความปลอดภัยขณะขับขี่ และการแก้ไขการออกแบบจุดเสา A-pillar ใหม่ทั้งหมด พร้อมการใส่ Spoiler ไว้ด้านบน ช่วยลดเสียงภายในห้องโดยสารลงได้มากถึง 20% นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มความโปร่งโล่งให้กับห้องโดยสาร พร้อมให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสัมผัสบรรยากาศภายนอกได้อย่างง่ายดาย มาจนถึงล้อ
อัลลอยขนาด 21 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ พร้อมยาง 285/45R21 ทั้งยังเป็นครั้งแรกของ G-Class ที่มาพร้อมปุ่มเปิด-ปิด ประตูทั้งหมดเป็นแบบ KEYLESS-GO เพียงสัมผัสที่มือจับประตูก็สามารถล็อกหรือปลดล็อกได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ขับขี่ในทุกการเดินทาง
มิติตัวรถตั้งแต่ความยาว 4,865 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,984 มิลลิเมตร ความสูง 1,979 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 244 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 3,500 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 100 ลิตร
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเทคโนโลยีที่มอบความล้ำสมัยอย่างลงตัว เริ่มจากหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ All-Digital Instrument Display ขนาด 12.3 นิ้ว ที่เชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการมัลติมีเดีย COMAND Online ขนาด 12.3 นิ้ว ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงข้อมูลและควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้มหนัง Nappa ตัดสลับ DINAMICA microfibre ระบบ AMG DYNAMIC SELECT ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดขับขี่ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถปรับค่าการทำงานของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง
พวงมาลัยให้ตอบสนองกับสภาพถนนและสไตล์การขับขี่ได้อย่างลงตัว พร้อมเติมเต็มอารมณ์การขับขี่ด้วยระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® Surround Sound System ที่ให้คุณภาพเสียงคมชัดรอบทิศ นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารยังมาพร้อมระบบฟอกอากาศ Air Balance Cabin-Air Purification System ที่ช่วยรักษาคุณภาพอากาศให้สะอาด สดชื่น และผ่อนคลายตลอดการเดินทาง ทำให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความสะดวกสบายในแบบฉบับของ AMG พนักพิงศีรษะสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า เบาะหลังสามารถพับลงได้ 3 ตอน คือ 40%, 60% และ 100% โดยมพื้นที่วางสัมภาระตั้งแต่ 640-2,010 ลิตร
ภายใต้แนวคิด “One Man, One Engine” เสริมพลังการออกตัวที่เฉียบคม และตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยเบนซินเทอร์โบคู่ Biturbo V8 ขนาด 4.0 ลิตร รหัส M177 ให้กำลังสูงสุดถึง 585 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 850 นิวตันเมตรที่ 2,500–3,500 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 4.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราการสิ้นเปลือง 6.25 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 363 กรัมต่อกิโลเมตร
พร้อมยกระดับสมรรถนะด้วย Mild Hybrid ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V electrical system สร้างและจ่ายไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าของรถ คู่กับเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9-speed เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ (Steering-wheel gearshift paddles) ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ลื่นไหลและแม่นยำ
พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG PERFORMANCE 4MATIC all-wheel drive สุดยอดยนตรกรรมสำหรับการตะลุยเส้นทางแบบออฟโรดได้อย่างไร้ที่ติเน้นการกระจายกำลังไปที่ล้อคู่หลังแบบ 40:60 ช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL ที่ปรับได้ตามสไตล์การขับขี่และสภาพถนน โดยระบบจะอ้างอิงข้อมูลต่างๆ เช่นทิศทางและความเร็วของรถ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับได้ 3 โหมด คือ Comfort, Sport, และ Sport+
AMG High-Performance Braking System ระบบเบรกสมรรถนะสูง พร้อมการตกแต่งด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีแดง ประดับด้วยโลโก้ AMG ให้ความโดดเด่นในทุกการขับขี่ ผสานการทำงานกับระบบท่อไอเสียคู่ AMG Performance Exhaust System ที่มอบประสบการณ์อันเร้าใจถึงขีดสุด พร้อมระบบปรับระดับเสียง ช่วยให้ควบคุมความกระหึ่มของเสียงท่อไอเสียได้ตามความต้องการ
AMG ACTIVE RIDE CONTROL Chassis ระบบช่วงล่างแบบ Active Hydraulic ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเสถียรในการขับขี่ และลดอาการโคลงตัวของรถ โดยสามารถปรับการขับขี่ได้ 2 รูปแบบ คือ Off-Road และ Sport โดยเพิ่มฟีเจอร์ความเป็นรถมอเตอร์สปอร์ตมากขึ้น
แต่ยังคงไว้ซึ่ง Differential Lock ซึ่งเป็นฟีเจอร์เอกลักษณ์ของ G-Class โดยระบบสามารถล็อกเฟืองท้ายได้ถึง 3 จุด แต่ละจุดสามารถล็อกได้เต็ม 100% (Three Times 100% Lockable) ช่วยให้รถสามารถขับผ่านพื้นผิวที่มีแรงยึดเกาะต่ำ เช่น โคลน ทราย หิมะ หรือพื้นผิวขรุขระได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุดมากมาย อาทิ
- ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE system)
- ช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC)
- ช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist with exit warning function)
- ช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist)
- ช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist)
- ช่วยการนํารถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist with PARKTRONIC)
- ช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
- ช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist)
- ช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร (Active Lane Keeping Assist)
- แจ้งเตือนขณะเปดประตูรถ (Exit warning function)
ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตําแหน่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่งสําหรับผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างป้องกันศีรษะ 4 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่ เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ที่นั่ง โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program) ป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system) เบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist
ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (adaptive brake light) เตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator) เตือนแรงดันลมยางและหน้าจอแสดงสถานะลมยาง (Tire pressure monitoring system) เซนเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) ช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) ช่วยเหลือฉุกเฉินแบบ emergency call system
และกล้อง 360° with Transparent Bonnet เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นภาพด้านหน้ารถและใต้ท้องรถ ผ่านหน้าจอแสดงผล ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยโดยเฉพาะในเส้นทางออฟโรดหรือพื้นที่แคบ
Mercedes-AMG G 63 วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 18,800,000 บาทโดยมีสีตัวถังให้เลือกกว่า 8 สี ได้แก่ สีขาว (Polar White) สีดำ (Obsidian Black) สีเงิน (Iridium Silver) สีเงิน (Mojave Silver) สีน้ำเงิน (Sodalite Blue) สีน้ำเงิน (Brilliant Blue) สีเขียว (Emerald Green) และสีเทา (Selenite Grey)
นอกจากนี้ Mercedes-AMG G 63 ยังมาพร้อม OPITONAL EXTRA ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกออปชันและอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้อีกมากมาย ตั้งแต่สีตัวถังแบบ MANUFAKTUR ล้ออัลลอย AMG ชุดแต่ง AMG Night Package และ Black accents อุปกรณ์ตกแต่ง “G manufaktur” รวมถึงการตกแต่งภายในที่มีให้เลือกทั้งแบบ EXCLUSIVE และ SUPERIOR Line