งานนี้ Mercedes-Benz ไม่ปล่อยให้ BMW เสวยสุขโกยยอดขาย BMW iX3 แน่นอนท้าชนทุกรูปแบบเปิดตัว Mercedes-Benz GLC with EQ Technology
Mercedes-Benz GLC with EQ Technology มาแทน Mercedes-Benz EQC with EQ Technology โดยใช้แพลตฟอร์มใหม่หมดจากสถาปัตยกรรม MB.EA เพื่อรถอีวีโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานรุ่น GLC แพลตฟอร์ม MRA2
หน้าตาเด่น
ด้วยกระจังหน้าโครเมียมกรอบหนาไส้ในแบบตาข่ายแบบกระจกรมควันมีตราดาว อย่างเด่นด้วยไฟเรืองแสงขนาดใหญ่แบบ LED ถึง 942 ดวงประกบกับไฟหน้า LED ทั้งแบบธรรมดาและแบบ Digital Light ให้ความสว่างสูงในวงกว้าง แต่ประหยัดพลังงานลง 50% พร้อม ไฟ Daytime Running Light รูปทรง Star Shaped รับกับฝากระโปรงหน้าดีไซน์เป็นลอนชุดกันชนหน้าใหม่พร้อมช่องระบายอากาศที่ใหญ่ดูดีกว่า
ด้านข้างมาในแนวเอสยูวีด้วยหลังคาพาโนรามิกกลาสแบบ SKY CONTROL ป้องกันรังสียูวี กรองแสงได้ ราวหลังคาทรงบิ๊วอินกลมกลืนลงตัว กรอบกระจกโครเมียมเสริมเสน่ห์ กระจกมองข้างทรงสปูน ที่เปิดประตูแบบเรียบเนียนกับตัวถังรถ แบบ Flush-fitting บันไดข้างดีไซน์เรียบเนียนกับชายล่าง
ด้านท้ายเด่นด้วยไฟท้าย LED ที่มีแสงพาดขวางเป็นแนวนอนตลอดฝาท้ายแบบ Digital Jewelry ผสานเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ออกมาเป็นรายละเอียดของอัญมณีที่ลงตัว กันชนหลังมีความหรูด้วยคิ้วโครเมียมพร้อมลิ้นสปอยเลอร์เสริมช่องรีดอากาศซ้าย-ขวาและแผงทับทิมสีแดงเรียวยาวและล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ตัวรถมาพร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน 0.26 โดยขนาดตัวถังใหญ่กว่า
- ความยาว 4,845 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,913 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,644 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,972 มิลลิเมตร
- พื้นที่สัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้า 128 ลิตร
ภายใน
เริ่มที่แผงคอนโซลหน้าทรงคล้ายกับ Mercedes-Benz CLA with EQ Technology พร้อมหน้าจอขนาดยักษ์ยาวต่อเนื่องขนาด 39.1 นิ้ว แบบ HYPERSCREEN แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วนประกอบได้แก่ มาตรวัดความเร็ว Driver Display แบบ LED matrix backlighting 10.3 นิ้ว หน้าจอ Central Display แบบ OLED 14 นิ้ว และหน้าจอ Co-driver Display แบบ OLED ซึ่งแสดงผลได้คมชัดยิ่งขึ้นผู้โดยสารสามารถใช้หน้าจอ Co-driver Display ในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ สามารถตั้งค่า ตรวจสอบสถานะต่างๆ ของรถ ค้นหาแผนที่ และใช้งานสื่อบันเทิงได้โดยไม่รบกวนผู้ขับขี่ขนาด 14 นิ้ว
จอยักษ์นี้มาพร้อมไฟแบ็คไลท์แบบ MATRIX LED ประกอบด้วยหลอด LED กว่า 1,000 ดวง นอกจากนี้ยังมีโซนหรี่แสงอัจฉริยะ 2 โซนแยกอิสระจากกัน สามารถปรับความสว่างได้ผ่านแถบเลื่อน จะช่วยให้สามารถปรับความสว่างของส่วนต่างๆ ของแผงหน้าปัดและระบบสาระบันเทิงได้หลากหลายระดับ และมีหน้าจอ 2 จอ ในรุ่นเริ่มต้นมาอีก พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านทรงท้ายตัด ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head–up Display)
ติดตั้งระบบปฏิบัติการ MB.OS ที่ผสานการทำงานของเทคโนโลยี AI ด้วยระบบ MBUX Virtual Assistance ที่ร่วมมือกับ Google นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชันระดับโลกมากมายกว่า 40 แอป อาทิ Chat GPT, Gemini, Google Maps, Microsoft Teams, Webex, Zoom Disney+ ฯลฯ มาพร้อมช่องระบายอากาศชุบสีเงินโครม ที่ชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ที่วางแก้วขนาดใหญ่ และปุ่มควบคุมแบบแถบบาง
ห้องโดยสาร 5 ที่นั่ง เก็บสัมภาระด้านหลังยังมีสูงถึง 750 ลิตร และเพิ่มได้สูงถึง 2,400 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวที่ 2 แบบ 40:20:40 แถมมีช่องใต้พื้นจุอีก 80 ลิตร เบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยบันทึกความจําสําหรับตําแหน่งที่นั่ง พวงมาลัย และกระจกมองข้าง เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบดันหลัง แบบ Lumbar support มีอุ่นเบาะสําหรับที่นั่งคู่หน้า Heated front seats โดยวัสดุหุ้มเบาะมีทั้งหนังสังเคราะห์เลียนแบบหนังแท้ที่ไม่ได้มาจากหนังสัตว์ VEGAN หรือหนัง ARTICO กับ NAPPA ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 สี (ambient lighting)
หลังคาพาโนรามิกกลาสมาพร้อมไฟส่องสว่างเป็นดาวสามแฉก 162 ดวงและยังสามารถเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเทคโนโลยี Polymer Dispersed Liquid Crystal แบ่งโซนการใช้งานได้ 9 โซน ระบบฟอกอากาศแบบ ENERGIZING AIR CONTROL Plus แอร์อัตโนมัติ THERMOTRONIC 4 โซน ลำโพง Burmester® 4D surround sound system ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูงและรอบห้องโดยสารช่วยมอบเสียงเพลงที่คมชัดสมจริงราวกับอยู่ในสตูดิโอ มาพร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos® ถ่ายทอดเสียงได้รอบทิศทางแบบ 360 องศา ที่จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารได้อย่างรื่นรมย์
ขุมพลังไฟฟ้า 100%
ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ตอบโจทย์ในทุกมิติ ทั้งในด้านสมรรถนะอันทรงพลังที่ให้กำลังสูงสุด 490 แรงม้า รวมถึงการติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium-ion 800V ขนาด 94 kWh ที่ให้ระยะทางการขับขี่สูงสุด 713 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP หรือ 839 กิโลเมตร (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.3 วินาที ให้ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มีประสิทธิภาพการชาร์จที่รองรับ DC Charge สูงสุด 330 kW ภายใน 22 นาที โดยการชาร์จเพียง 10 นาที ด้วยกระแสไฟเต็มกำลัง จะสามารถขับขี่ได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร และ AC 11-22 kW รองรับการจ่ายไฟจากแบตเตอรี่รถไปยังอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า Vehicle-to-Load (V2L) ไปยังบ้าน Vehicle-to-Home (V2H) และโครงข่ายสาธารณะ Vehicle-to-Grid (V2G)
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด ที่มีอัตราทดเกียร์ 11:1 และ 5:1 มาพร้อมโหมดการขับขี่ทั้ง ECO, COMFORT, SPORT, INDIVIDUAL สามารถปรับค่าเองได้ และโหมดลุย TERRAIN ลากจูงได้สูงสุด 2,400 กิโลกรัม พร้อมระบบช่วยควบคุมการลากจูง Trailer Maneuvering Assist
ผสานการทำงานด้วยระบบกันสะเทือนแบบถุงลม AIRMATIC และโฟมช่วยลดเสียงรบกวน ยกระดับการขับขี่ให้เป็นไปอย่างนุ่มนวลและน่าประทับใจในทุกเส้นทางมาพร้อมฟังก์ชัน Car-to-X ใช้ข้อมูลจากรถเบนซ์คันอื่นล่วงหน้า เพื่อปรับโช้คอัพให้เหมาะสมกับถนนรวมถึงใช้ข้อมูลจาก Google Maps เพื่อปรับระดับความสูงต่ำของรถให้เหมาะสม และยังสามารถสั่งการยกตัวถังรถให้สูงขึ้นได้ด้วยเสียง Raise vehicle level
ระบบเบรกแบบ One-Box (One-Pedal) คือระบบเบรกที่รวมทุกฟังก์ชันหลัก ๆ (รวม Booster, Master Cylinder และ ESP®) ไว้ในโมดูลเดียว ทำให้เบรกตอบสนองไวขึ้นควบคุมง่าย พร้อมระบบช่วยแปลงพลังงานกลับหลังจากเบรก Regenerative สูงสุดราวๆ 300 kW ปรับความหน่วงได้ 4 ระดับ ได้แก่ D-, D, D+, D Auto พร้อมระบบเบรกแบบ Regenerative 4 ระดับ
พร้อมระบบเลี้ยว 4 ล้อ Rear Axle Steering ทำให้ทุกการขับขี่ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วยล้อหลังที่สามารถเลี้ยวได้มากถึง 4.5 องศาในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้าในความเร็วต่ำกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 2.5 องศาในความเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความปลอดภัย
ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ในชื่อ MB.DRIVE ประกอบด้วยกล้องรอบคันสูงสุด 10 ตัว เซนเซอร์เรดาร์ 5 ตัว และเซนเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว ที่รวบรวมระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ไว้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น
- ช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
- ช่วยเบรกอัตโนมัติ (Active Brake Assist)
- ช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist)
- ช่วยจำกัดความเร็วแบบแอ็คทีฟ (Speed Limit Assist)
- รักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC)
- ช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Lane Keeping Assist)
- ช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist)
- ช่วยการนํารถเข้าจอดอัตโนมัติ (Automatic Parking Assist)
- เตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)
- ป้องกันก่อนเกิดเหตุ (PRE–SAFE® system)
- ป้องกันก่อนเกิดเหตุสําหรับด้านข้าง (PRE–SAFE® impulse side)
- ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill–Start Assist
- สร้างเสียงจําลองสําหรับเตือนผู้ใช้ถนน (Acoustic presence indicator)
- ช่วยการทรงตัวและดึงรถกลับเข้าช่องจราจรขณะหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางฉุกเฉิน
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่กึ่งกลางเลน (Lane Centering)
- เปลี่ยนเลนอัตโนมัติในเขตเมืองเมื่อคุณเปิดไฟเลี้ยว Lane Change Assist Plus ตามมาในภายหลัง
กล้องรอบคัน 360° ที่ให้การแสดงผลแบบ Transparent bonnet ที่จะแสดงภาพใต้ท้องรถแบบ real-time ทำให้สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างสะดวกสบายเมื่อขับขี่ในโหมด Off-Road อุปกรณ์ปะยางฉุกเฉินแบบ TIREFIT ถุงลมนิรภัยรอบคัน เตือนแรงดันลมยาง ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light) เตือนเข็มขัดนิรภัยบนหน้าจอสําหรับผู้โดยสารด้านหลัง และ ควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
Mercedes-Benz GLC with EQ Technology ในช่วงแรกขายรุ่นเดียว GLC 400 4MATIC with EQ Technology โดยจะมีรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังเสริมทัพในอนาคต เปิดตัวช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026 ผลิตที่เมืองเบรเมิน ประเทศเยอรมนี ทางด้านเมืองไทยคาดว่าพบกันในปีหน้า
ที่มา Carexpert