กระแสที่กำลังมาแรงในโลกยานยนต์ที่ไม่ใช่รถเอสยูวีอเนกประสงค์แต่เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง
ค่ายรถยนต์หลายค่ายมีจุดหมายที่จะเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปเป็นไฟฟ้าโดยหยุดพัฒนาเครื่องสันดาปในเร็วๆนี้หรือช้าสุด 10-20 ปี เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสมบูรณ์ และถ้าจะพูดถึงประเทศที่ชำนาญในการทำรถไฟฟ้านอกจากยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น แล้ว จีน เป็นอีกประเทศที่มีฐานการผลิตใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า โรงงานประกอบรถหลากหลายเจ้า ด้วยค่าแรงงานที่ถูกกับประสบการณ์ที่ฝีมือไม่แพ้ใครจนเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก รวมถึงแบรนด์รถยนต์ของจีนที่ผงาดในตลากโลกไม่ว่าจะเป็น MG หรือ GWM เป็นต้น
สำหรับเมืองไทยตลาดรถไฟฟ้าเริ่มที่เป็นแพร่หลายในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ แบรนด์ยุโรป แบรนด์ญี่ปุ่น ราคาล้านปลายๆขึ้นไปเข้ามาในวงจำกัด จนกระทั่ง MG ปลุกกระแสรถไฟฟ้าราคาถูกกับ MG ZS EV เอสยูวีไฟฟ้าในราคาล้านต้นๆจนถึง MG EP เอสเตทไฟฟ้ารุ่นแรกของไทยที่ราคาไม่ถึงล้าน ถูกใจพ่อบ้านและกลุ่มองค์กรสั่งซื้อกันไปหลายคัน และน้องใหม่อย่าง GWM ที่เอาเรื่องรักษ์โลกกับความสวยงามมาชูโรงกับ ORA Good Cat ถึงค่าเริ่มที่เก้าแสนปลายๆจนถึงเกือบล้านสอง โดยมีผลตอบรับดีไม่แพ้กัน และสองรุ่นดังกล่าว MG EP VS ORA Good Cat ทาง Car 2 Day จึงจับมาเป็นมวยคู่เอกรถไฟฟ้าที่ค่าตัวคบได้
ภายนอกตัวตนต่างกัน
MG EP เอสเตทไฟฟ้าที่ทำตลาดมาเกือบ 2 ปี โดยล่าสุดมีการปรับปรุงใหม่ หรือ MY2022 ไปพร้อมชื่อใหม่ MG EP PLUS เพิ่ม ชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถขนสัมภาระและอุปกรณ์ต่างๆ ได้ บนพื้นฐานเดิมตั้งแต่ กระจังหน้า Suspended Wing Grille ปิดทึบสีดำ Piano Black พร้อมแถบโครเมียมรับกับ ไฟหน้า Projector ติดตั้งไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน LED DRL ในโคมเดียวกัน ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Electric Pulse Design และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED อยู่ในชุดสปอย์เลอร์หลังคา ล้ออัลลอยลาหรูขนาด 16 นิ้วพร้อมยาง 205/60R16 คิ้วโครเมี่ยมเสริมทับที่กรอบป้ายทะเบียน มุมกันชนหน้า-หลัง กรอบประตูเติมเต็มความหรูดุจรถยนต์นั่งชั้นดี
ด้าน ORA Good Cat มาในร่าง 5 ประตูเช่นกันแต่เป็น Subcompact Hatchback ท้ายตัด หน้าตาเหมือนแบรนด์รถยุโรปชั้นดีเริ่มตรา ORA ขนาดใหญ่ รับกับกระจังหน้าดีไซน์สุดคลาสสิกพร้อมระบบ Active Air Intake กันชนหน้าทั้งชิ้นแบบกลมกลืนพร้อมไฟหน้า LED ทรงตาแมว หรือ CatEye พร้อม Daytime Running Light และไฟส่องสว่างหลังดับเครื่องยนต์ Follow Me Home กระทะล้อครอบล้อเหล็ก 17 นิ้วพร้อมยาง 205/55R17 ไฟท้ายแนวยาว LED ครอบทับกระจกหลังช่วยให้มองเห็นชัดเจนขึ้น กับท้ายรถที่เรียบง่ายและสปอยเลอร์หลังดีไซน์เก๋ไก๋ แต่ว่าไม่มีที่ปัดน้ำฝนด้านหลังเพื่อช่วยในการมองเห็นได้มากขึ้น
มิติตัวรถ
ถึงรถไฟฟ้าสองคันจะเป็น 5 ประตู แต่ต่างการใข้งานทำให้มมิติตัวรถทุกๆด้านมีความต่างกัน ทาง MG EP PLUS ถึงจะเป็นเอสเตท 5 ประตูจากพื้นฐาน Roewe i5 ได้เปรียบที่ความยาวยาวกว่า ORA Good Cat 309 มม. ฐานล้อยากกว่า 15 มม. น้ำหนักมากว่า 79 กก. แต่ทาง ORA Good Cat ถึงจะเป็นรถท้ายตัด 5 ประตูแต่ ความกว้างมากกว่า EP PLUS 7 มม. สูงกว่า 53 มม. และความสูงใต้ท้องรถมากว่า 30 มม. โดย ORA Good Cat พัฒนาบนพื้นฐาน GWM LEMON E PLATFORM ที่ปรับมาใช้งานกับรถไฟฟ้า (BEV) โดยเฉพาะ
ภายในการใช้งานต่างกัน
MG EP PLUS นั่งได้ 5 ที่นั่งแต่ได้เปรียบตรงที่ห้องสัมภาระด้านท้ายมีพื้นที่ถึง 1,456 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงแบบ 60:40 เบาะนั่งหนังสังเคราะห์ทั้ง 5 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งคู่หน้าออกแบบดีไซน์ Anti-Curved Surface Design เพื่อความสบายในการขับขี่และโดยสาร คอนโซลหน้าบุหนังสัมผัส พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน มาตรวัดความเร็วพร้อมจอ MID ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ระบบจอสัมผัส 8 นิ้ว กับลำโพงที่ให้เสียงไพเราะอีก 6 จุด รักสบายด้วยระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold แต่สิ่งที่เพิ่มเติมจากรุ่น EP เดิมก็คือเครื่องปรับอากาศดิจิทัลติดตั้งกรองอากาศ PM 2.5 สามารถดักจับและป้องกัน ฝุ่นละอองอนุภาคเล็กภายในห้องโดยสาร
ทาง ORA Good Cat TECH 400 ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น หรูสง่าเทียบชั้นรถยุโรป โดดเด่นทุกสัมผัสกับหน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถมีขนาด 17.25 นิ้ว ความละเอียดสูง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนทั้งหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบดิจิตอล (Full TFT) ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอระบบมัลติมิเดียพร้อมระบบสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน ฟังเพลง วิดีโอ รองรับ Apple CarPlay, Siri , Android Auto และ Google Assistant ระบบนำทาง รองรับแอปพลิเคชั่นเพลง เช่น JOOX พร้อมลำโพง 4 จุด วัสดุภายในห้องโดยสารให้สัมผัสที่สบาย เบาะนั่งปรับแบบธรรมดา โดยคนขับปรับ 6 ทิศทางและคนนั่ง 4 ทิศทางหุ้มด้วยวัสดุผ้า เบาะหลังพับลงได้ แต่พื้นที่การจุได้แค่ 858 ลิตร มีระบบ Cockpit Cleaning System พร้อมกรองอากาศ PM2.5 ช่วยลดปริมาณฝุ่น เข้าสู่ห้องโดยสาร และออพชั่นให้ความสบายๆทั้ง เกียร์อัตโนมัติลูกบิดระบบ Electronic Shifter พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 2 ก้าน
ฟังก์ชั่นอัจฉริยะ (Intelligent Functions) มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ เช่น ระบบความบันเทิงในรถยนต์ ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ และเทคโนโลยีสำหรับการขับขี่อันล้ำสมัย การอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) ตอบโต้ด้วยเสียงอัจฉริยะผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ AI (Artificial Intelligence) การสั่งการและควบคุมรถจากระยะไกล พร้อมฟังก์ชั่นอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงานของตัวรถทั้งคัน
ขุมพลังไฟฟ้าที่โดดเด่น
MG EP PLUS มาพร้อมพลังไฟฟ้าที่เหลือเฟือกับการใช้งานด้วย แบตเตอรี่ Lithium-Ion มีความจุขนาด 50.3 kWh กับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ที่มีพละกำลัง 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตรที่ชูจุดเด่นของการขับขี่ด้วยแรงบิดสูงมาตั้งแต่ต้น ทำให้เร่งได้แบบทันใจด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลา 8.8 วินาที ทำให้วิ่งได้ไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco และ โหมด Sport ติดตั้งแผ่นปิดห้องเครื่องด้านหน้า เพิ่มความเรียบร้อยและสะดวก ในการบำรุงรักษา
แถมชาร์จไฟฟ้าได้ 2 แบบ คือ Quick Charge แบบ DC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0 – 80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0 – 100% หัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที คุ้มค่ากับการเป็นเจ้าของด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำช่วยประหยัดได้ในระยะยาวโดยมีค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าตั้งแต่ 0-100% เฉลี่ยเพียง 200 บาท หรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1 บาท ต่อกิโลเมตร จึงทำให้ประหยัดกว่ารถยนต์น้ำมัน กว่า 2-3 เท่า และในเรื่องของการดูแลรักษาที่ผู้บริโภคบางส่วนยังมีความกังวล ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลงและด้านหลังแบบ Torsion Beam และพวงมาลัยไฟฟ้าที่มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด (เมตร) 5.95
ส่วน ORA Good Cat ULTRA 500 มีขุมพลังไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor พร้อมแบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 47.788 kWh มีระยะทางวิ่งสูงสุด 400 กิโลเมตร ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 152 กิโลเมตร/ชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง (DC) สูงสุด 60 kW และการชาร์จไฟบ้านแบบ AC 6.6 kW โดยระยะเวลาในการชาร์จ ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0% – 80%) 60 นาที โดยอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที พร้อมระบบขับขี่ทั้งหมด 5 แบบ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับได้เองตามปริมาณแบตเตอรี่ที่คงเหลือได้แก่ 1) Standard 2) Sport 3) ECO 4) ECO+ และ 5) อัตโนมัติ
แบตเตอรี่มีความสามารถในการป้องกันมาตรฐาน IPX9K และ IP67 ซึ่งสามารถป้องกันน้ำ การกัดกร่อน การชน อัคคีภัย และการกระแทกได้ โดยเมื่อเกิดการกระแทกระบบไฟฟ้าจะตัดการทำงานภายใน 0.1 วินาที เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เซลล์แบตเตอรี่ถูกห่อหุ้มด้วยกล่องที่มีความแข็งแรงในระดับ 3 มิติ พร้อมมีการควบคุมอุณหภูมิและระบบระบายความร้อน ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลงและด้านหลังแบบ Torsion Beam พร้อมเหล็กกันโคลง และพวงมาลัยไฟฟ้าที่มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด (เมตร) 5.9
ความปลอดภัยน้องเหมียวจัดเต็ม
ความปลอดภัยของ MG EP PLUS ให้มาเป็นแบบพื้นฐานโดยมีแค่ เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake), ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold),ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD, เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist), ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal), ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, กล้องมองหลังทำงานร่วมกับสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง, ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer, ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
สำหรับ ORA Good Cat TECH 400 ให้ความปลอดภัยพอๆกับ MG EP PLUS เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว (Intelligent Single Pedal), ระบบควบคุมความเร็วที่ Good Cat มีให้แต่ EP PLUS ไม่มี, ช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (LSEB), ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC),ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS), ช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA), ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), กระจายแรงเบรก (EBD), ระบบควบคุุมการทรงตัว (ESC), ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS)
เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด, เสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่ และตัวถังทำจากเหล็กกล้า IronBone™ ดูดซับและลดแรงกระแทกเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้โดยสาร
ราคาและสีภายนอกรถ
MG EP PLUS ราคาจำหน่าย 998,000 บาท มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีเงิน (Metallic Grey) และสีดำ (Black Knight)
แต่ทาง ORA Good Cat TECH 400 มีสีภายนอกรถแค่ 2 สี น้อยกว่า MG EP PLUS ได้แก่ สีดำ (Sun Black) และสีขาว (Hamilton White) ส่วนสีภายในสีดำ มาในราคา 989,000 บาท
รถ 5 ประตูทั้งสองรุ่นมีเอกลัษณ์ดีไซน์ที่ต่างกันแต่ด้วยพลังไฟฟ้าทั้งคู่ทาง MG EP PLUS ให้กำลังมากกว่า 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร แต่ระยะไกลสุดต่อการชาร์จ แถมได้เปรียบตรงที่การจุของมากกว่าเพราะตัวรถเป็นสเตชั่นแวก้อน หรือ เอสเตท ทาง ORA Good Cat TECH 400 ให้มากกว่าถึง 400 กม. ออพชั่นข้าวของความปลอดภัยพอๆกันทั้งสองรุ่น และด้วยส่วนต่าง 9,000 บาท งานนี้ต้องคิดกันสักหน่อยกับรถไฟฟ้าสองรุ่นดังจากเมืองจีนที่นิยมและราคาน่าคบในยุคนี้