และแล้ว Toyota เปิดตัวรถใหม่ที่ว่ากันว่านี่คือความหวังของหมู่บ้านสามห่วงที่จะมาฟาดฟันกับคู่แข่งตัวเอ้แดนยุโรปกับ Toyota GR GT

Toyota GR GT ซูเปอร์คาร์เรือธงของ TOYOTA GAZOO Racing และมีเวอร์ชันรถแข่ง Toyota GR GT3 ซึ่งทั้งคู่ยังเป็นต้นแบบที่กำลังอยู่ในการพัฒนาก่อนออกมาโลดแล่นบนท้องถนน
ฉายาเจ้าหน้ายาวแดนยุ่น
ภายนอกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เด่นในสไตล์ GT หน้ายาว เริ่มที่ฝากระโปรงหน้ายาว พร้อมสคู๊ปตรงกลางฝากระโปรงและช่องทรงสามเหลี่ยม ซ้าย-ขวา ไฟหน้า LED พร้อมไฟ DRL แบบ LED ในโคมเดียวกันแนวใหม่รูปตัว C
กระจังหน้าแบบ Hammerhead กริตเตอร์ขอบใหญ่ทึบสีดำมีปีกซ้ายขวาดีไซน์เอกลักษณ์สีเดียวกับตัวรถขนาดใหญ่กันชนหน้าดีไซน์ใหม่แปลกตากว่าเดิมด้วยช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ ถึง 3 ช่อง ในชุดกันชนหน้าพร้อมสปอยเลอร์ใต้กันชน
ด้านข้างดุดันด้วยหน้ายาวออกแบบบังโคลนให้ยาวส่วนบน มีไฟเส้นยาวติดขอบล้อหน้า-หลัง พร้อมข่องระบายอากาศด้านข้างตัวรถไปถึงบังโคลนหลัง สเกิร์ตทรงเท่ใต้ชายล่างประตู พร้อมช่องระบายอากาศ กระจกมองข้างทรงสปูน ที่เปิดประตูรถอยู่บนขอบประตูรถ
ล้ออัลลอยสีเข้ม 10 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางหน้า 265/35 ZR20 และยางหลัง 325/30 ZR20 จาก Michelin Pilot Sport Cup ตัวล้อได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ดีเยี่ยม

ด้านท้ายแท่ด้วยไฟท้าย LED แนวยาว พร้อมสปอยเลอร์ Ducktail มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ฝังที่สปอยเลอร์ ช่องระบายอากาศทรงใหญ่รูปตัว A ผสมกับกันชนหลังทีมีลิ้นสปอยเลอร์และท่อไอเสียคู่ทรงกลม 2 ฝั่ง รวม 4 ท่อ
ตัวถังรถทำจากอะลูมิเนียมทั้งคันเพื่อลดน้ำหนักเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวถังและชิ้นส่วนตัวรถทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) ออกแบบจุดศูนย์ถ่วงต่ำให้คนขับ เครื่องยนต์ อยู่ต่ำสุดเพื่อเป็นหนึ่งเดียวการควบคุมรถ โดยมีมิติดังนี้
- ความยาว 4,820 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 2,000 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,195 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,725 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 1,750 กิโลกรัม

ภายในมาแบบ 2 ที่นั่ง
พร้อมออปชันครบครันทั้ง คอนโซลหน้าตกแต่งบุนุ่มด้วยหนังกลับ ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดง ตกแต่งโทนสีดำ-แดง มาตรวัดดิจิทัลแบบจอสี พร้อมไฟบอกตำแหน่งเกียร์ จอสัมผัสขนาดใหญ่ เชื่อมต่อแบบไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto เชื่อมต่อด้วย Bluetooth พร้อมช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า USB แบบ Type A และ Type C
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา มีกรองอากาศภายในห้องโดยสาร พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านท้ายตัดพร้อมแถบบอกองศาพวงมาลัยสีแดง On-Centre Marker ปรับได้ 4 ทิศทาง ชุดแป้นคันเร่งและเบรกแบบอะลูมิเนียมสีเงิน เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังกลับ Ultrasuede® ทรงสปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ GR บริเวณพนักพิงศีรษะ ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารอัตโนมัติแบบ LED และ Smart Entry และ Push Start พร้อมสัญลักษณ์ GR

ขุมพลังมาอย่างโหด
ด้วยเบนซินเทอร์โบคู่ V8 Dynamic Force Engine ขนาด 4.0 ลิตร แบบ Mild Hybrid ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวติดตั้งในทรานซ์แอกซ์ หรือ ชุดขับเคลื่อนเพลาท้ายในตัวด้านหลัง จากความจุกระบอกสูบ 3,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87.5 x 83.1 มิลลิเมตรและแบบช่วงชักสั้นที่มีอัตราส่วนกำลังอัด (ต่อ1) 0.949 เป็นเครื่องตัววีแบบ Hot-Vee
ให้กำลังสูงสุด 650 แรงม้า แรงบิด 850 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Paddle Shift ให้ความเร็วสูงสุดมากกว่า 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงต่ำกว่า 4 วินาที

ด้วยความเป็นรถเครื่องวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังและการวางลูกเกียร์วางที่ด้านท้ายช่วยให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำมากทำให้การกระจายน้ำหนักจากหน้าไปหลังเล็กน้อยที่ 45:55 ช่วงล่างแบบปีกนกคู่ 4 ล้อ พร้อมคอยล์สปริงหน้า-หลัง ระบบกันสะเทือนเป็นแบบปีกนกคู่รอบคัน เบรกคาร์บอนเซรามิกจาก Brembo

ส่วน Toyota GR GT3 สำหรับรถแข่งตามมาตรฐาน FIA ประกอบด้วยสปลิตเตอร์หน้าใหญ่ ช่องระบายอากาศดักอากาศ ฝากระโปรงเจาะช่องหลายตำแหน่ง สเกิร์ตข้างแบบหนา ชิ้นใต้ท้องแบบแฟลต สามารถวางท่อไอเสียไว้ด้านข้างได้ดิฟฟิวเซอร์ท้ายขนาดใหญ่
ปีกหลังแบบ Gooseneck ห้องโดยสารติดตั้งโรลบาร์ พร้อมระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ความปลอดภัยแบบรถแข่ง กับขุมพลัง V8 4.0 เทอร์โบคู่แบบไม่มีแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยว

Toyota GR GT และ GR GT3 พัฒนามากตำนานของค่ายทั้ง Toyota 2000GT และ LEXUS LFA จากการออกแบบนำโดย Akio Toyoda รวมถึงนักแข่งมืออาชีพพร้อมทีมวิศวกร บรรจงสร้างจนกลายมาเป็นซูเปอร์คาร์ท้าชน Mercedes-AMG GT Mercedes-Benz SLS และ DODGE VIPER เตรียมขายจริงเร็วๆนี้
ที่มา Carwatch










