ตลอดสองปีของการทำตลาด Toyota Harrier เจเนอเรชันที่ 4 ถูกใจชาวญี่ปุ่น ฮ่องกง ไทย มาเลเซีย และบางประเทศถึงจะกลับมาขายอีกครั้งก็ตาม
ล่าสุดเสริมทางเลือกใหม่ด้วย Toyota Harrier PHEV รุ่นเสียบปลั๊กและ Toyota Harrier รุ่นปรับปรุงใหม่ หรือ MY2023
โดยทั้งรุ่นเสียบปลั๊กและรุ่นปกติเหมือนกันแต่ต่างที่กระจังหน้าสีดำพร้อมโลโก้สามห่วงขอบสีฟ้า ในรุ่น PHEV นอกนั้น กระจังหน้าลายปกติ พร้อมไฟหน้า LED กับไฟส่องสว่าง Daytime แบบ LED อยู่ในโคมเดียวกัน แบบ dual branches โดยทั้งไฟหน้าและกระจังหน้าล้อมกรอบโครเมียม
ด้านข้าง ออกแบบให้มีรูปลักษณ์สปอร์ตกว่าเดิม เส้นโครเมียมที่กรอบประตูโดดเด่น กระจกมองข้างทรงสปูน ไฟท้าย LED แนวยาว แบบ horizontal LED พร้อมโลโก้สามห่วง พร้อมเสียบปลั๊ก AC ในรุ่น PHEV ล้ออัลลอยห้าก้านคู่ทูโทน ขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 225/55R19 ในรุ่น PHEV นอกนั้นมีทั้งขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 225/55R19 ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/60R18 และ 17 นิ้วพร้อมยาง 225/65R17
ภายในปรับเล็กน้อยทั้งจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง มาตรวัดขนาดใหญ่พร้อมจอแสดง MID แบบสี TFT 12.3 นิ้ว พร้อมออปชันประจำรถทั้งลำโพงคุณภาพจาก JBL ถึง 9 ตัว พื้นที่สัมภาระท้ายกว้างใหญ่ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า เบาะนั่งตอน 2 พับได้แบบ 60/40 มีหลังคา Panorama roof พิเศษติดตั้งระบบ electric shades and electro-chromatic windows กันแสงและมี WIFI in Car ให้เป็นจุดปล่อยสัญญาณ Wi-Fi แถมในรุ่น PHEV เพิ่มปลั๊กจ่ายไฟภายนอกที่มีกำลังไฟสูงสุด 1,500 วัตต์ (AC 100 V) และภายในโทนสีดำ/สีแดง ระบบอุ่นเบาะทั้งหน้าและหลัง
จากพื้นฐาน TNGA (GA-K) มาพร้อมขุมพลังใหม่ด้วยเบนซิน Dynamic Force Plug-in hybrid เครื่องเดียวกับ Lexus RX450h+ AWD ภายใต้รหัส A25A-FXS 2.5 ลิตร 177 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 219 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาทีในภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว โดยมอเตอร์ไฟฟ้าหน้ารุ่น 5NM 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าหลัง 4NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 18.1 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังสูงถึง 306 แรงม้า โดยชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งไกลสุด 93 กิโลเมตร ประหยัดสุด 20.5 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อม Sequential Shift ขับเคลื่อน 4 ล้อ e-Four พร้อมโหมดการขับขี่สามโหมดทั้งโหมด EV, AUTO HV/EV, HV โดยชุดแบตติดตั้งไว้ใต้พื้นตรงกลางตัวรถทำให้มีพื้นที่ภายในกว้างขึ้น ลดจุดศูนย์ถ่วงลง มีเสถียรภาพในการบังคับเลี้ยวดีขึ้นตามไปด้วย
ส่วนรุ่น HEV และเบนซินล้วนยังคงเดิมด้วย Dynamic Force ด้วยขนาด 2.0 ลิตร M20A-FKS ผลิตกำลังได้ 171 แรงม้าที่ 6,600 รอบต่อนาทีแรงบิด 207 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบต่อนาที ฉีดจ่ายน้ำมันโดยตรง D-4S direct injection ควบคุมการเปิด-ปิด วาล์วไอดี VVT-iE electric variable valve timing จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Direct Shift CVT เบนซิน Dynamic Force Hybrid 2.5 ลิตร A25A-FXS 178 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,600-5,200 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว 3NM 120 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตร และ 4NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร โดยให้กำลังรวม 222 แรงม้า จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อม Sequential Shift โดยทุกขนาดเครื่องยนต์ เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Four และขับเคลื่อนล้อหน้า
ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense เพิ่มความปลอดภัยก่อนการชนเพื่อตรวจจับยานพาหนะที่สวนมาเมื่อเลี้ยวขวาที่ทางแยก หรือ pre-crash safety to detect oncoming vehicles when turning right at an intersection และ ตรวจจับคนเดินเท้าข้ามถนนเมื่อเลี้ยวขวาหรือซ้าย pedestrians crossing the street when turning right or left ในรุ่นเบนซินล้วนและรุ่น HEV
Toyota Harrier MY2023 ทั้งรุ่นเบนซิน, รุ่น HEV ขายจริง 4 ตุลาคม และใหม่รุ่น PHEV ขายจริง 31 ตุลาคมที่ญี่ปุ่น ในราคาเริ่มต้น 3,128,000-6,200,000 yen หรือราว 821,000- 1,629,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้าของไทย แต่ถ้านำเข้ามาขายในไทยรวมภาษีนำเข้าอยู่ที่ 1,539,000-3,473,000 บาท
ที่มา Carwatch