เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Volvo ES90 ซีดานทรงฟาส์ทแบ็กพลังไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของค่ายโดยสเปกไทยจำหน่ายเพียงรุ่นเดียว
Volvo ES90 สร้างจากแพลตฟอร์ม Scalable Product Architecture (SPA2) เดียวกันกับ Volvo EX90 โดยมาในชื่อรหัสโครงการ V551
ตัวรถใหญ่ทั้งคัน
หน้าตาตามสไตล์ วอลโว่ ตั้งแต่กระจังหน้าทรงทึบติดตราโลโก้ Iron Mark พร้อมขอบฝากระโปรงหน้าที่หนากว่าเดิม ไฟหน้า HD pixel technology จำนวน 2 หมื่นดวง ดีไซน์เอกลักษณ์ “ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” (Thor Hammer) ด้านข้างกับกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวทรงสปูนที่เปิดประตูดีไซน์ซ่อนรูปเนียนกลมกลืนกับตัวถังรถพร้อมประตูปิดแบบ soft close ทุกบาน
ไฟท้าย LED ทรงตัว C โอบล้อมด้านหลังเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนในทุกสภาพแสง ขณะที่ไฟท้ายแนวตั้งบริเวณกระจกหลังใกล้เสา D ทำให้ตัวรถมีความทันสมัย และมุมมองหลังที่ดีสำหรับผู้ขับ ฝากระโปรงท้ายควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าที่เปิดได้สูงถึงระดับหลังคารถ และล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว พร้อมยางหน้า 255/40 R22 และยางหลัง 285/35R22 มีมิติตัวรถดังนี
- ความยาว 5,000 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,942 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,546 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 3,102 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,500-2,600 กิโลกรัม
- ที่จัดเก็บสัมภาระด้านหน้า 27 ลิตร
ภายในยกงานดีไซน์มาจาก Volvo EX90
สะท้อนความเรียบหรูสไตล์สแกนดิเนเวียนด้วยแผงตกแต่งแดชบอร์ด ประตู และด้านหลังที่นั่ง ที่ทำขึ้นจากวัสดุไม้จริงซึ่งได้รับการรับรอง จาก FSC-certified ประดับบนแผงไฟ LED ทำให้เกิดไฟ ambience ในห้องโดยสารที่อบอุ่น ผ่อนคลาย และเมื่อมองลึกไปกว่านั้น แผงตกแต่งดังกล่าวยังมีลูกเล่นเป็นลายรหัสมอร์ส (Morse code) ที่เมื่อถอดรหัสออกมาจะพบคำว่า Volvo
เบาะที่นั่งทำจากวัสดุหนัง NAPPA โดยเบาะผู้โดยสารด้านหลังมีขนาดใหญ่ ให้ความโอ่อ่า หรูหราสไตล์ที่นั่งโดยสารชั้นธุรกิจ พร้อมที่วางมือเมื่อดึงที่วางแก้ว และโทรศัพท์บริเวณกึ่งกลางเบาะโดยสารลงมา พนักพิงของที่นั่งโดยสารแถวหน้ามาพร้อมระบบนวดไฟฟ้า ที่มีจุดนวดถึง 10 จุด พร้อมโปรแกรมนวด 5 รูปแบบ ที่ความเร็วและความแรงให้เลือกปรับถึง 3 ระดับ ตามความต้องการของผู้ใช้
เบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังยังสามารถปรับองศาให้เอนนอนได้มากถึงระหว่าง 28-33 องศา ตัวเบาะมาพร้อมระบบระบายอากาศเพื่อความสบายในการนั่งโดยสาร สามารถพับลงแยกกันได้อย่างอิสระในแบบ 40/20/40
จึงให้พื้นที่บรรทุกสัมภาระที่กว้างขวางมากถึง 446 ลิตร รวมถึงช่องขนาด 16 ลิตร ที่อยู่ข้างใต้พื้นที่เก็บสัมภาระ และสามารถจุได้ถึง 904 ลิตร หากพับเบาะแถวสองลง ที่นั่งโดยสารแถวหลังมีพอร์ต USB-C 2 พอร์ต เพื่อการเชื่อมต่อที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก หรือเชื่อมต่อระบบอินโฟเทนเมนต์
มีระบบฟอกอากาศที่ได้รับการรับรองโดย Allergy Standards Limited ว่าสามารถช่วยกรองฝุ่นที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ และหอบหืด ไฟ LED ที่ตกแต่งภายในห้องโดยสารยังถูกออกแบบให้ใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติจากภายนอกรถ จึงให้การส่องสว่างที่นุ่มนวล ไม่กระพริบ และลดปริมาณแสงสีฟ้า
จึงช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อต้องขับรถในเวลากลางคืน ระบบปรับอากาศที่แยกการควบคุมแบบ 4 โซน ให้อุณหูมิที่เหมาะกับความต้องการของผู้โดยสารทั้ง 4 ที่นั่ง
หลังคาพาโนรามิกแบบอิเล็กโทรโครมิก (electrochromic) ปรับความโปร่งแสงได้ มอบสุดยอดความสุนทรีย์ในห้องโดยสารด้วยเครื่องเสียงจาก Bowers & Wilkins ผ่านลำโพง 25 ตัว ให้กำลังขับสูงถึง 1,610 วัตต์ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos® และโหมดเสียง Abbey Road Studios
มองเห็นข้อมูลที่จำเป็นของรถในระหว่างการขับ และควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ในรถได้อย่างสะดวกผ่านหน้าจอหน้าผู้ขับ (driver display) ขนาด 9 นิ้ว และหน้าจอกลางขนาด 14.5 นิ้ว และ head-up display ความคมชัดสูงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ด้วยฟังก์ชัน Google built-in เพื่อการใช้งานแผนที่นำทางจาก Google Maps, บริการผู้ช่วย Google Assistant และบริการอื่น ๆ ที่โหลดได้จาก Google Play
นอกจากนี้ ยังรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย Android Auto และ Android Automotive OS รองรับการใช้งานสัญญาณเครือข่ายระดับ 5G จึงให้การเชื่อมต่อข้อมูลที่รวดเร็ว
กุญแจแบบ Digital Key Plus ที่เพียงแค่คุณพก iPhone,นาฬิกา Apple Watch หรืออุปกรณ Android รุ่นที่รองรับ ก็สามารถใช้เป็นกุญแจเพื่อแบบดิจิทัลสำหรับรถในแอป Wallet โดยไม่ต้องพกกุญแจดอกจริงเพื่อใช้รถ
ขุมพลังไฟฟ้า
จากเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมการจ่ายไฟระดับ 800V ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุด 755 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC)
รุ่น Single Motor มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังมาพร้อมความจุแบตเตอรี่ 92 kWh ให้กำลังรวม 333 แรงม้าที่ 4,900-8,300 รอบต่อนาที แรงบิด 480 นิวตันเมตรที่ 0-4,900 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 6.6 วินาที
ชาร์จเร็ว DC 10-80% ภายใน 22 นาที รองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 300 kw นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มระยะทางวิ่งได้ไกล 275 กิโลเมตร ภายใน 10 นาที มาพร้อมระบบชาร์จกระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 11 kW ภายใน 10 นาที
พร้อมระบบ LiDAR (Light Detection and Ranging System) ซึ่งเป็นระบบตรวจจับแสงและวัดระยะวัตถุที่ติดตั้งอยู่บนหลังคาด้านหน้าของตัวรถ ทำงานโดยการส่งแสงเลเซอร์แบบ Pulse Wave ไปกระทบวัตถุหรือพื้นผิวต่างๆ เพื่อคำนวณระยะที่แม่นยำ โดย Lidarสามารถตรวจจับคนเดินเท้าที่ในระยะไกลถึง 250 เมตรจากหน้าตัวรถ
นอกเหนือจาก LiDAR 1 ตัวแล้วยังมีกล้อง 7 ตัว,เรดาห์ตรวจจับวัตถุ 5 ตัว เซนเซอร์แบบอัลตราโซนิค 12 ตัวรอบคันเพื่อมอบมุมมอง 360 องศา แบบเรียลไทม์สำหรับผู้ขับขี่ผสานกับระบบความปลอดภัยในตัวรถเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้การทำงานของฟังก์ชันช่วยเหลือเพื่อการขับขี่อย่าง และเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวผู้ขับในห้องโดยสารอีก
พร้อมระบบช่วยการขับขี่ Pilot Assist และ ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยเพื่อเปลี่ยนเลน รวมถึงระบบประมวลผลที่แม่นยำจาก ด้วยชิป NVIDIA DRIVE AGX Orin แบบคู่ ซึ่งสามารถประมวลผลได้รวดเร็วกว่า 508 ล้านล้านครั้งต่อวินาที สามารถตัดสินใจข้อมูลจากเซนเซอร์ทั้งหลาย การจัดการระบบพลังงาน และลูกเล่นต่างๆภายในตัวรถได้ฉับไว รวมถึงละเอียดลออมากขึ้น
เก๋งใหญ่ไฟฟ้าอย่าง Volvo ES90 ท้าชน BMW i5, Mercedes-Benz EQE และ Audi A6 E-Tron เปิดขายไทยรุ่นเดียวคือรุ่น ULTRA Single Motor Extended Range 2,990,000 บาท คาดว่าจะพร้อมส่งมอบให้แก่ลูกค้าในประเทศภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ หรือ ต้นเดือนมกราคม ปีหน้า ตัวรถมาพร้อมสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี รวมถึงสีใหม่อย่าง สีเงิน Aurora Silver พร้อมสีภายในเลือกได้ 2 สีทั้งสีดำ Charcoal และขาว Dawn