More

    สายพานจุ่มน้ำ VS สายพานโซ่: ต่างกันอย่างไร? แบบไหนทน แบบไหนถูก

    สายพานจุ่มน้ำ VS สายพานโซ่ ต่างกันอย่างไร แบบไหนดูแลง่าย แบบไหนเปลืองเงิน วันที่ Car2Day พามารู้จักกับสายพานแบบต่างๆ กัน

    มารู้จัก สายพานจุ่มน้ำ VS สายพานโซ่ กันก่อน

    ระบบขับเคลื่อนเพลาลูกเบี้ยวคือหัวใจสำคัญของเครื่องยนต์ มีหน้าที่ควบคุมวาล์วให้ทำงานอย่างแม่นยำ ปัจจุบันมีสองเทคโนโลยีหลักที่แข่งขันกันคือ สายพานจุ่มน้ำ (Wet Belt) และ สายพานโซ่ (Timing Chain) ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายต่างเลือกใช้ระบบเหล่านี้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า สายพานจุ่มน้ำ มีความเสี่ยงที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถ? บทความนี้จะเปรียบเทียบทั้งสองระบบแบบเจาะลึก!

    สายพานจุ่มน้ำ (Wet Belt): ความเงียบที่มาพร้อมกับจุดอ่อนร้ายแรง

    สายพานจุ่มน้ำ เป็นนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อลดเสียงรบกวน โดยให้สายพานทำงานอยู่ภายในห้องเครื่องและสัมผัสกับน้ำมันเครื่องตลอดเวลา

    ข้อดีของระบบสายพานจุ่มน้ำ

     

    • ความเงียบสูงสุด: สายพานทำจากวัสดุยืดหยุ่น ทำให้การทำงานเงียบกว่าโซ่โลหะมาก นี่คือข้อดีหลักที่ทำให้หลายค่ายเลือกใช้ สายพานจุ่มน้ำ
    • ลดแรงเสียดทาน: การหล่อลื่นต่อเนื่องช่วยลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีขึ้น
    • น้ำหนักเบา: สายพานจุ่มน้ำ มีน้ำหนักเบากว่าโซ่ ช่วยลดภาระโดยรวมของเครื่องยนต์

     

     ข้อเสียและความเสี่ยงของสายพานจุ่มน้ำ

     

    • แพ้น้ำมันเครื่องผิดสเปค: นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุด วัสดุของ สายพานจุ่มน้ำ จะเสื่อมสภาพและเปื่อยยุ่ยอย่างรวดเร็วหากใช้น้ำมันเครื่องผิดเบอร์
    • ความเสี่ยงการอุดตันของปั๊มน้ำมัน: เมื่อสายพานเปื่อยยุ่ย เศษวัสดุที่หลุดออกมาสามารถไปอุดตัน ตะแกรงกรองปั๊มน้ำมันเครื่อง ซึ่งนำไปสู่การขาดการหล่อลื่นและเครื่องยนต์เสียหายได้ทันที
    • ค่าซ่อมบำรุงที่สูง: การเปลี่ยน สายพานจุ่มน้ำ ทำได้ยาก ต้องใช้เวลาและค่าแรงสูงกว่าระบบอื่นมาก

     

    สายพานโซ่ (Timing Chain): ความถึกทนที่พิสูจน์แล้ว

    สายพานโซ่ เป็นระบบดั้งเดิมที่ใช้โลหะในการขับเคลื่อน โซ่จะอาศัยน้ำมันเครื่องในการหล่อลื่นเช่นกัน

     

    ข้อดีของระบบสายพานโซ่

     

    • อายุการใช้งานยาวนาน (ตลอดชีพ): สายพานโซ่ ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานเท่ากับตัวเครื่องยนต์ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนตามระยะทาง
    • ทนทานต่อสภาวะน้ำมันเครื่อง: มีความยืดหยุ่นสูงกว่า ไม่เปราะบางต่อสเปคน้ำมันเครื่องเท่า สายพานจุ่มน้ำ
    • ความเสี่ยงต่ำ: ไม่มีปัญหาเรื่องเศษวัสดุไปอุดตันปั๊มน้ำมันเครื่อง ทำให้ความเสี่ยงที่เครื่องยนต์จะพังจากปัญหานี้ต่ำมาก

     

     ข้อเสียของสายพานโซ่

     

    • เสียงดังกว่า: เสียงการทำงานของ สายพานโซ่ จะดังกว่าและให้ระดับ NVH ที่สูงกว่าระบบสายพาน
    • น้ำหนักมากกว่า: โซ่โลหะมีน้ำหนักมากกว่า ทำให้เครื่องยนต์โดยรวมมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
    • การยืดตัว: เมื่อใช้งานไปนาน ๆ โซ่อาจมีการยืดตัว ทำให้ต้องดูแลชิ้นส่วนอื่น เช่น ตัวปรับความตึงโซ่ (Tensioner)

     

    สรุปตารางเปรียบเทียบ: สายพานจุ่มน้ำ vs สายพานโซ่

     

    คุณสมบัติ สายพานจุ่มน้ำ (Wet Belt) สายพานโซ่ (Timing Chain)
    ความเสี่ยงต่อการอุดตัน สูงมาก ต่ำมาก
    ความทนทานต่อ น.ม.ค. อ่อนไหวสูงมาก ทนทาน
    ค่าบำรุงรักษาระยะยาว สูง (ต้องเปลี่ยนชุดใหญ่) ต่ำ (ไม่ต้องเปลี่ยน)
    ความเงียบ ดีเยี่ยม ปานกลาง
    แนวโน้มในอุตสาหกรรม กำลังถูกลดบทบาท กลับมาเป็นที่นิยม

     

    คำแนะนำ: วิธีดูแล สายพานจุ่มน้ำ ให้ใช้ได้นานที่สุด 

    หากรถของคุณถูกติดตั้งระบบ สายพานจุ่มน้ำ มาจากโรงงาน คุณไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้ แต่คุณสามารถดูแลรักษาให้มันอยู่กับคุณได้นานที่สุด ด้วย 3 ข้อสำคัญนี้:

     

    1. ต้องใช้ “น้ำมันเครื่อง” ตามสเปคที่กำหนดเท่านั้น (ห้ามยืดหยุ่น!)

     

    นี่คือหัวใจของการดูแลรักษาที่ห้ามพลาดแม้แต่น้อย เพราะสารเคมีในน้ำมันเครื่องที่ไม่เหมาะสมคือสาเหตุหลักที่ทำให้สายพานเปื่อยยุ่ย

    • เน้น “มาตรฐาน” (Specification) ไม่ใช่แค่ “เบอร์” (Grade): การเลือกน้ำมันเครื่องต้องดูว่าผ่านการรับรองมาตรฐานเฉพาะของผู้ผลิตรถยนต์รุ่นนั้นหรือไม่ (เช่น API SN/CF, ACEA A5/B5) แต่เหนือกว่านั้นคือ ต้องดู “รหัสเฉพาะ” เช่น Ford WSS-M2C913-C, หรือ WSS-M2C952-A1 (แล้วแต่รุ่นเครื่องยนต์) หากขาดรหัสนี้ไปแม้ว่าเบอร์ความหนืดจะตรงกัน (เช่น 5W-30) ก็อาจมีสารเคมีที่ทำลายสายพานได้
    • หลีกเลี่ยงน้ำมันเกรดต่ำ: น้ำมันเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานจะเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด ทำให้คุณสมบัติการปกป้องสายพานลดลง และทำให้เกิดการกัดกร่อนวัสดุสายพาน

     

    2.  เปลี่ยนถ่ายตามระยะ “เวลา” และ “ระยะทาง” อย่างเคร่งครัด

     

    ระบบสายพานจุ่มน้ำมีความอ่อนไหวต่อ “น้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพ” มาก เนื่องจากน้ำมันเครื่องที่ใช้ไปนาน ๆ จะเกิดการปนเปื้อนความชื้นและน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งทำลายวัสดุของสายพาน

    • ไม่ควรลากรอบการเปลี่ยนถ่าย: แม้รถทั่วไปอาจลากได้ถึง 15,000 กม. แต่สำหรับรถที่มีสายพานจุ่มน้ำ ควรร่นระยะให้สั้นลง (เช่น เปลี่ยนทุก 8,000 – 10,000 กม.) หรือตามคำแนะนำที่ระบุไว้ในคู่มืออย่างเคร่งครัด (เช่น ทุก 1 ปี หรือ 15,000 กม. แล้วแต่ว่าถึงอันไหนก่อน)
    • รถวิ่งน้อยก็ต้องเปลี่ยน: หากคุณขับรถน้อยมาก ๆ และยังไม่ถึงระยะทาง คุณก็ต้องเปลี่ยนตามระยะ “เวลา” ที่กำหนด (มักจะ 1 ปี) เพราะน้ำมันเครื่องจะเสื่อมสภาพตามกาลเวลา

     

    3. เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยน “ชุดสายพาน” ตามระยะ

     

    สายพานจุ่มน้ำไม่ได้มีอายุการใช้งาน “ตลอดชีพ” เหมือนโซ่ราวลิ้น คุณต้องวางแผนค่าใช้จ่ายสำหรับการเปลี่ยนชุดใหญ่เมื่อถึงระยะกำหนด

    • เปลี่ยนทั้งชุดตามระยะ: ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะกำหนดให้เปลี่ยนชุดสายพานจุ่มน้ำในระยะทางที่ยาวกว่าสายพานราวลิ้นแบบแห้ง (เช่น ทุก 100,000 กม. หรือ 150,000 กม.) คุณต้องปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัด
    • สิ่งที่ต้องเปลี่ยน: การเปลี่ยนชุดสายพานจุ่มน้ำหมายถึงการเปลี่ยนทั้งสายพาน ตัวปรับความตึง (Tensioner) ลูกรอก และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีการทำความสะอาดหรือตรวจสอบ “ตะแกรงปั๊มน้ำมันเครื่อง (Oil Pump Strainer)” เพื่อกำจัดเศษวัสดุที่อาจไปอุดตันออกให้หมด
    • ค่าใช้จ่ายสูงกว่า: เนื่องจากต้องมีการรื้อชิ้นส่วนเยอะกว่าและซับซ้อนกว่า ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสายพานจุ่มน้ำสูงกว่าระบบโซ่และสายพานแบบแห้งมาก

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts