ปวดหัวกันตั้งแต่ยังไม่แข่งขันเลยทีเดียวสำหรับวิศวกร F1 ของแต่ละทีม เมื่อ FIA ได้ออกกฎเกี่ยวกับพื้นรถแข่งใหม่ออกมา ซึ่งมีการคำนวณออกมาว่า รถแข่งจะช้าลงไปจากการเปลี่ยนแปลงนี้ถึงครึ่งวินาที
จากปัญหา Porpoising หรือ การกระดอน ที่รถแข่ง F1 แต่ละทีมเจอมาในปีที่แล้ว นั่นทำให้ FIA ต้องออกมาหาทางรับมือด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยในปีที่แล้ว พวกเขาใช้ ‘เมตริกการสั่นของอากาศพลศาสตร์’ หรือ ‘Aerodynamic Oscillation Metric (AOM)’ เพื่อตรวจวัดความรุนแรงในการกระดอนของตัวรถ และในปีนี้ ตัวรถจะถูกปรับเปลี่ยนการออกแบบพื้นรถใหม่
กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนดีไซน์ครั้งนี้คือ การยกขอบพื้นรถขึ้น 15 มิลลิเมตร ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การป้องกันไม่ให้ทีมแข่งเซตพื้นรถต่ำเกินไป จนทำให้ตัวรถเกิดการกระดอน
Nikolas Tombazis ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิครถแข่งที่นั่งเดี่ยวของ FIA มั่นใจว่า การปรับกฎนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะที่เขาเองก็ยอมรับถึงการสูญเสียประสิทธิภาพที่คาดว่าทีมแข่งแต่ละทีมจะได้รับผลกระทบ
“ผมไม่สงสัยเลยว่าเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง” Tombazis กล่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงกฎ “เราได้พยายามหาวิธีแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะกลาง มันไม่จำเป็นที่จะต้องสลาย (การกระดอน) ไปจนหมด แต่มันจะลดน้อยลง”
เมื่อถูกถามว่ารถแข่งจะสูญเสีย Downforce ไปเท่าไร? Tombazis กล่าวว่า “ไม่มากเท่าไหร่ ผมคิดว่าพวกมันจะเสียไปประมาณ 15 ถึง 20 แต้ม นั่นเทียบได้ประมาณครึ่งวินาที อะไรประมาณนั้น”
“แต่แน่นอนว่าด้วยการพัฒนา พวกเขาจะก้าวข้ามเวลาที่สูญเสียไป”
ในหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นกันไปแล้วว่า F1 ได้ออกกฎหลายอย่างที่มีผลทำให้รถแข่งนั้นช้าลง ทั้งในปี 2018 ที่มีการเพิ่มเฮโลเข้ามา ปี 2019 ที่มีการลดความซับซ้อนของปีกหน้าลง แต่รถแข่งนั้นก็ยังคงเร็วขึ้นได้อยู่ทุกปี เนื่องจากวิศวกรต่างพยายามเฟ้นหาผลลัพธ์เพื่อมาชดเชยกับประสิทธิภาพของตัวรถที่หายไป
ดังนั้น ในปี 2023 ซึ่งเป็นเพียงปีที่สองของชุดกฎทางอากาศพลศาสตร์ใหม่ คาดว่าในปีนี้รถแข่งก็น่าจะยังคงเร็วขึ้นไปได้ ถึงแม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนข้างต้นที่ทำให้รถแข่งช้าลง
อ้างอิง : motorsport.com
