More

    5 อันดับรถ Luxury BEV ที่วิ่งได้ไกลสุดในเมืองไทย

    ทุกวันนี้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถที่ได้รับการกล่าวถึงมากขึ้นเหล่าบรรดาค่ายรถหลายค่ายส่งรถไฟฟ้าเข้าทำตลาดมีให้เลือกสรรมากมาย

    Luxury BEV

    ไม่ว่าจะเป็นรถเล็กนั่งได้ 2 คน ไปจนถึงรถเก๋ง แฮทช์แบ็ค ฟาสท์แบ็ค เอ็มพีวี ใหญ่สุดก็เอสยูวี ซึ่งแต่ละประเภทตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายการใช้งานที่แตกต่างกัน และด้วยคุณสมบัติเด่นทั้งความจุแบตเตอรี่ ระยะการวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รูปแบบการชาร์จ ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนที่ตัดสินใจถามเป็นอันดับแรกในการซื้อมาใช้งานในเมืองไทยนอกจากรถไฟฟ้าที่คุ้นเคยไม่ว่าจะเป็น Pocco, Fomm, MG ZS EV, MG EP, ORA Good Cat และ Nissan LEAF ฯลฯ ค่าตัวตั้งแต่ 3 แสนบาทขึ้นไป ยังมีรถไฟฟ้าระดับหรู หรือ Luxury BEV ทั้งจากญี่ปุ่น และโซนยุโรป

    วันนี้ Car 2 Day จึงจัดอันดับ 5 รถไฟฟ้า Luxury BEV ที่วิ่งได้ไกลจากต่ำสุดไปถึงมากที่สุดในราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาทจนถึงเกือบ 10 ล้านบาท ซึ่ง 5 อันดับนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายผ่านทางตัวแทนอย่างเป็นทางการ เริ่มกันที่

    อันดับ 5 Lexus UX 300e วิ่งไกลสุด 360 กม. เริ่มต้น 3.49 ล้านบาท

    Lexus

    เอสยูวีเล็กรุ่นแรกของค่ายที่ยกพื้นฐานมากจากรุ่น UX เครื่องสันดาป แต่พลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ lithium-ion ขนาด 54.3 kWh ที่ถูกติดตั้งอยู่บริเวณพื้นส่วนกลางของรถ สามารถรีดกำลังได้ 204 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร ได้อัตราเร่งได้ดั่งใจ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 7.5 วินาที แถมวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งไกลถึง 360 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC) ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง Quick DC Charger 0-80% ภายใน 50 นาที สำหรับการชาร์จแบบกระแสตรงผ่านการชาร์จด้วยเครื่องชาร์จ DC fast charging 50 กิโลวัตต์ ด้วยกำลังไฟ 125 แอมป์ และชาร์จนาน 7 ชม. สำหรับกำลัง 6.6kW ขับเคลื่อนล้อหน้า

    กับออพชั่นที่ให้มาพอๆกับรุ่น UX เครื่องสันดาปตั้งแต่หน้าตาแบบ Spindle Grille ผ่านกระจังหน้าทรงเอกลักษณ์ ภายในที่หรูทั้งเบาะหนังทรงสปอร์ตัดเย็บอย่างประณีตแถมให้ความสบายในการขับขี่เป็นอย่างมากบนพื้นฐาน GA-C (Global Architecture-Compact Platform) กับน้ำหนักรถ 1,840 กก. กับการเสียภาษีปีละ 1,600 บาท ก็น่าสนใจอย่างยิ่งกับค่าตัวเพียง 3,490,000 บาท แถมจำหน่ายรุ่นเดียวคือ UX 300e Premium

    อันดับ 4 Volvo XC40 Recharge Pure Electric วิ่งไกลสุด 450 กม. เริ่มต้น 2.59 ล้านบาท

    Volvo

    เอสยูวีจากเมืองโกเธนเบิร์ก สวีเดน กลายเป็นคู่กัดโดยตรงของ Lexus UX 300e แถมเป็นผู้มาก่อนกาล ก่อนที่ Volvo C40 Recharge Pure Electric จะเปิดตัวภายในปีนี้ด้วยพลังที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ 78 kWh แรงสุด 408 แรงม้า แรงบิด 660 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 4.9 วินาที สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 450 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) (418 กม./การชาร์จ 1 ครั้งตามมาตรฐาน WLTP) ทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็วจาก 0-80% ได้ใน 40 นาที และ จะใช้เวลาชาร์จไฟจาก 0-100% ประมาณ 6-8 ชั่วโมง โดยเครื่องชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน Wallbox EV Changer ขนาด 11 กิโลวัตต์

    พร้อมดีไซน์ตามแบบฉบับความเป็นสแกนดิเนเวียน ทั้งกระจังหน้าทรง Iron Mark ปิดทึบ ฝากระโปรงหน้าเปิดมากลายเป็นที่วางสัมภาระ ภายในหรูด้วยเบาะนั่งหนังแท้สีดำชาร์โคล ลำโพงจาก Harman Kardon มาตรวัดจอสี TFT 12.3 นิ้ว ระบบความบันเทิงด้วยระบบปฎิบัติการ Android ที่มีความเด่นตรงที่สามารถอัพเดทผ่านทาง OTA (over-the-air)ภายในชุดจอสัมผัส 9 นิ้ว และความปลอดภัย Advanced Driver Assistance System (ADAS) ในราคาเพียง 2,590,000 บาท กับการเสียภาษีปีละ 1,900 บาท ด้วยน้ำหนักรถ 2,111 กก.

    อันดับ 3 BMW iX3 วิ่งไกลสุด 470 กม. เริ่มต้น 3.399 ล้านบาท

    BMW

    เอสยูวีจากเมืองมิวนิก เข้ามาขายในไทยแบบไม่มีคู่แข่งพร้อมความแรง 286 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร กับความจุแบตเตอรี่ 80 kWh.โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชั่วโมง วิ่งไกลสุด 470 กม. ตามมาตรฐาน NEDC (460 กม.ตามมาตรฐาน WLTP) พร้อมเทคโนโลยีระบบชาร์จใหม่ล่าสุดเติมพลังงานสู่แบตเตอรี่ 400 โวลต์ และแหล่งจ่ายไฟ 12 โวลต์แก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถ หากใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่แรงดันสูง ยังรองรับการชาร์จจาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ได้ภายใน 34 นาที

    กับหน้าตายกชุดมาจาก BMW X3 เครื่องสันดาป สไตล์ M Sport กระโปรงหน้าและกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่มาในดีไซน์ปิดทึบ ท้ายรถมาพร้อมการออกแบบเพื่อลดแรงต้านอากาศ ล้อและยาง Runflat 20 นิ้ว เสริมความเอ็กซ์คลูซีฟด้วยระบบเสียง BMW IconicSounds Electric ซึ่งมาเป็นมาตรฐานสร้างทำนองเสียงไม่ซ้ำใครเมื่อสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์จากผลงานของ Hans Zimmer ในราคา 3,399,000 บาท การเสียภาษีปีละ 1,900 บาท กับน้ำหนัก 2,180 กก.

    อันดับ 2 Audi e-Tron GT วิ่งไกลสุด 540 กม. เริ่มต้น 6.599 ล้านบาท

    Audi

    เก๋งไฟฟ้าจากเมืองอิงโกลสตัดท์ ในร่างเก๋งสปอร์ต 4 ประตู กับพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ของ e-motors ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง กำลังสูงสุด 530 แรงม้า (Boost Mode) แรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 4.1 วินาที (Boost Mode) ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม. แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุ 93.4 kWh วิ่งำกลสุด 540 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) แถมเทคโนโลยี e-sound สร้างเสียงสังเคราะห์แบบ Sports เพื่อเพิ่มความสุนทรียภาพในการขับขี่ทุกเส้นทาง พร้อม On board charger (AC) สามารถรองรับการชาร์จกำลังไฟ AC ตั้งแต่ 11 KWและการชาร์จกำลังไฟ AC ได้สูงสุดถึง 22 KW ส่งผลใช้เวลาในการชาร์จแบบ AC สั้นลงเหลือเพียงประมาณ 5 ชั่วโมง 15 นาที

    ระยะทางขับเคลื่อนต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งอยู่ที่ 523 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC) ในรุ่น e-tron GT quattro Performance และรุ่นท็อปสุด RS e-tron GT quattro ให้พละกำลังสูงถึง 646 แรงม้า ใน Boost Mode แรงบิดสูงสุด 830 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 3.3 วินาที ใน Boost Mode ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. สามารถขับได้ไกลถึง 504 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) โดยมีราคาจำหน่าย 3รุ่น และแต่ลรุ่นเสียภาษีปีละ 1,900 บาท ดังนี้

    – Audi e-tron GT quattro ราคา 6,599,000 บาท

    – Audi e-tron GT quattro Performance ราคา 6,799,000 กับ 6,999,000 บาท

    – Audi RS e-tron GT quattro ราคา 9,599,000 กับ 9,799,000 บาท

    อันดับ 1 EQS From Mercedes-EQ วิ่งไกลสุด 770 กม. ราคาจำหน่ายเร็วๆนี้

    EQS

    และก็มาถึงรถไฟฟ้าที่วิ่งได้ไกลมากที่สุดของไทยเป็นอันดับ 1 นั่นก็คือ EQS from Mercedes-EQ เก๋ง Fastback ที่เป็นครั้งแรกของค่ายตราดาวและเป็นครั้งแรกของวงการรถไฟฟ้าในเมืองไทยที่ประกอบในประเทศพร้อม แถมวิ่งไกลสุด 770 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) (785 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP) ในรุ่นที่คาดว่าจะเข้ามาขายนั้นคือรุ่น EQS 450+ AMG Premium มาพร้อมความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion 107.8 kWh เป็นมอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังใช้มอเตอร์กำลังขับ 333 แรงม้า แรงบิด 568 นิวตันเมตร สร้างอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ใน 6.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กม./ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟสูงสุด 200 กิโลวัตต์ ทำให้ชาร์จไฟจาก 10-80% ได้ใน 31 วินาที และถ้าชาร์จเพียง 15 นาที จะทำให้เพิ่มระยะให้มากขึ้นได้สูงสุด 300 กิโลเมตร ซึ่งราคาจำหน่ายนั้น อาจเผยกันเร็วๆนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 7-8 ล้านบาท และถ้าน้ำหนักคันนี้อยู่ที่ 2,480 กก. จะเสียภาษีต่อปีอยู่ที่ 1,900 บาท

    ถึงจะเป็นการจัดอันดับรุ่นรถไฟฟ้าระดับหรูที่วิ่งได้ไกลสุด สำหรับสาวกเงินหนาชาวไทยแล้ว ยังมีรถไฟฟ้าระดับหรูที่ทางเราไม่มาจัดอันดับอีกเป็นจำนวนมากด้วยราคาที่เย้ายวนการขับขี่ที่เร้าใจกว่า 5 รุ่นที่จัดอันดับไปแต่อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการตัดสินใจจรดปากกาเซ็นต์ใบจองเลือกรถคู่ใจสักคัน ด้วยราคาที่น่าคบหาส่วนด้านจำนวนการเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้าให้เพียงพอก็เป็นประเด็นสำคัญที่น่าจับตามองกันต่อไป

    ที่มา Autoinfo 

     

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts