More

    Mercedes-Benz GLA 2024 ปรับเท่เอสยูวีท้ายลาดทรงหล่อ

    ตลอด 4 ปีที่ Mercedes-Benz GLA เจเนอเรชันที่ 2 รับใช้คนเมืองทั่วโลกด้วยความเป็นเอสยูวีน้องเล็กสุดในตระกูล G ขับขี่คล่องตัวสบายทุกการเดินทาง

    และล่าสุดกับการปรับปรุงใหม่ หรือ Model Year ในร่างรหัส H247 สิ่งที่ปรับเริ่มที่กระจังหน้าแบบ diamond radiator grille ทรงเดิมเส้นเดี่ยวแนวนอน และ ตราสัญลักษณ์ของ Mercedes-Benz ตรงกลาง แต่กันชนหน้าออกแบบใหม่เพิ่มกรอบขนาดใหญ่แบบสีเดียวกับตัวรถให้ใหญ่ขึ้นซ้าย-ขวา รวมถึงส่วนล่างกันชนออกแบบช่องระบายอากาศเช่นกัน มาพร้อมไฟหน้า LED ใหม่แบบ LED High Performance

    ล้ออัลลอยลายใหม่ทั้งขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/65R17 ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R18 และ 20 นิ้วพร้อมยาง 235/45R20 ด้านท้ายปรับในส่วนไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ ส่วนกันชนหลังคงเดิมเพิ่มเติมด้วยการตกแต่งแบบสีดำด้าน พร้อมคิ้วโครเมียมท่อไอเสียคู่สองฝั่ง

    Mercedes-Benz

    ภายในมีการปรับในส่วนดีไซน์แผงคอนโซลหน้าตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันวงใหม่ดีไซน์ล้ำหุ้มหนัง พร้อมจอ Dual Screen Cockpit หน้าจอ 2 จุดขนาดใหญ่ 10.25 นิ้ว ศูนย์รวมทั้งมาตรวัดกับจอสัมผัส infotainment MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ควบคุมความบันเทิงกับการสื่อสารผ่าน สมาร์ทโฟนเข้าไว้ด้วยกัน สั่งงานด้วยเสียง LINGUATRONIC voice control

    พร้อมคำทักทายสุดเก๋กับคำว่า “Hey Mercedes” มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient lighting 64 สี และเบาะนั่งตอน 2 ปรับได้แบบ 40:20:40 พร้อมเบาะนั่งหุ้มหนังแบบ ARTICO ผสมผ้า

    Mercedes-Benz

    ขุมพลังมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.3 ลิตร รหัส M282 ที่มีสองความแรงตั้งแต่ 136 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 230 นิวตันเมตรที่ 1,460 รอบ/นาทีในรุ่น GLA 180 ส่วนรุ่น GLA 200 ได้ 163 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 1,620-4,000 รอบ/นาที ทั้งสองขนาดจับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7G-DCT ขับเคลื่อนล้อหน้า

    ส่วนรุ่นขับเคลื่อสี่ล้อ 4MATIC กับเบนซินเทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร M270 190 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 300นิวตันเมตรที่ 1,200-4,200 รอบ/นาที ในรุ่น GLA 220 4MATIC และรุ่น GLA 250 4MATIC รหัส M260 224 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ 1,800-4,200 รอบ/นาที

    โดยเบนซินเทอร์โบทุกขนาดมาแบบ Mild Hybrid สร้างและจ่ายไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าของรถที่ใช้แรงดันไฟฟ้า 48 โวลต์ได้ โดยเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษพร้อม EQ Boost ให้กำลังถึง 14 แรงม้า

    Mercedes-Benz

    ด้านดีเซลเทอร์โบมีทั้ง 2.0 ลิตร OM654 เลือกได้ถึงสองความแรงตั้งแต่ 116 แรงม้าที่ 3,400-4,400 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตันเมตรที่ 1,200-2,600 รอบ/นาทีในรุ่น GLA 180 d ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนรุ่น GLA 200 d ขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC ได้ 150 แรงม้าที่ 3,400-4,400 รอบ/นาที แรงบิด 320 นิวตันเมตรที่ 1,400-3,200 รอบ/นาที

    และรุ่น GLA 220 d ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC ได้ 190 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,600 รอบ/นาที ทุกขนาดเครื่องยนต์จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8G-DCT

    Mercedes-Benz

    ส่วนรุ่นเสียบปลั๊กก็มีในรุ่น GLA250 e กับ เบนซินเทอร์โบ 1.3 ลิตร รหัส M282 163 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 270นิวตันเมตรที่ 1,620-4,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 109 แรงม้าที่ 2,500 รอบ/นาที  แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที

    พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่มีความจุ 11.5 kWh เมื่อทำงานร่วมกันได้พลังรวม 218 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้าได้ 62-70 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP คู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8G-DCT เบื่องต้น Mercedes-Benz GLA ปรับเล็กน้อยเอสยูวีเล็กพร้อมจำหน่ายทั่วโลกช่วงปลายปีนี้

    ที่มา Mercedes-Benz

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts