More

    MG3 Hybrid+ เจนใหม่พลังไฮบริด 194 ม้า เตรียมมาไทยกรกฎาคม

    เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน Geneva Motor Show 2024 สำหรับ MG3 Hybrid+ เก๋งท้ายตัดเจเนอเรชันที่สามโดยทำตลาดทั่วโลก

    MG

    MG3 Hybrid+ ภายนอกเด่นด้วยหน้าตานำแรงบันดาลใจจาก MG4 Electric ด้วยช่องระบายอากาศดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะแบบ Digital Burning Grille ไฟหน้า LED ทรงเรียวเพรียวสปอร์ต โลโก้ MG อยู่ตรงชุดกระจังหน้าแบบทึบ

    ชุดกันชนหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟตัดหมอกหน้าทรงกลมด้านข้างเส้นสายดูกลมกลืนประณีตพร้อมดีไซน์หลังคารถที่ลาดลงตามยุคสมัย กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ที่เปิดประตูแบบดึงก้าน ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้าย LED ลงตัวด้วยกันชนหลังทรงสปอร์ตพร้อมสปอยเลอร์หลังทำให้นึกถึง Honda City Hatchback และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วลายห้าก้านทูโทนพร้อมยาง 195/55R16 ตัวรถแน่นอนว่ามาทรงท้ายตัดแฮทช์แบ็กด้วยความยาว 4,113 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,797  มิลลิเมตร ความสูง 1,502 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,570 มิลลิเมตร

    MG

    ภายในทันสมัยด้วยเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำลวดลายเพชรแผงประตูขึ้นรูปที่สวยงาม เบาะหลังพับได้แบบ 100% พร้อมพื้นที่สัมภาระมากถึง 293 ลิตรแผงคอนโซลหน้าดีไซน์ไฮเทค พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันยกมาจาก MG4 Electric ติดตั้งจอคู่ประกอบด้วยมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 7 นิ้ว มีจอสัมผัสขนาดใหญ่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ขนาด 10.25 นิ้ว มีช่องเสียบ USB ลำโพง 6 จุด

    ถัดลงมาเป็นสวิตช์การทำงานที่จำเป็นช่องแอร์ดีไซน์หรู และเกียร์อัตโนมัติแบบปุ่มหมุน  Shift By Wire พร้อมเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ที่ช่วยยกระดับคุณค่าและประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์เอ็มจี รวมถึงการเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ให้ง่ายยิ่งขึ้น

    MGขุมพลังตามรายงานว่าจะเป็นเบนซิน 1.5 ลิตร Hybrid Atkinson-cycle รหัส 15S4C กำลังสูงถึง 102 แรงม้า แรงบิด 128 นิวตันเมตร ในภาคเครื่องยนต์ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลังสามารถเร่งได้อย่างราบรื่นให้กำลังถึง 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion ขนาดความจุแบต 1.83 kWh เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า ที่ให้ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8 วินาที ประหยัดสุด 22.73 กิโลเมตรต่อลิตร

    คู่กับเกียร์อัตโนมัติ Three-speed พร้อมการขับขี่ที่สามารถเลือกโหมดได้สามโหมด Eco, Standard และ Sport สามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าเพียวๆ 80 กิโลเมตร และยังมีโหมดการขับขี่พิเศษ Hybrid+ เลือกได้แบบอัตโนมัติทั้ง EV, Series, Series and Charge, Drive and Charge และ Parallel

    MGพร้อมความปลอดภัยเต็มคันไม่ว่าจะเป็น ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS กระจายแรงเบรก EBD เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS ป้องกันล้อหมุนฟรี ควบคุมการลื่นไถล TCS  ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS สัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS  ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง กุญแจนิรภัย Immobilizer ล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา ทำงานร่วมกับเซนเซอร์กะระยะการจอด จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer และระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์

    และ MG Pilot ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ไม่ว่าจะเป็น ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) ช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)

    เก๋งท้ายตัดจากค่าย MG มีทั้งหมด 7 สีทั้ ง สีดำ Pebble Black, สีขาว Dover White, สีบรอนซ์เงิน Cosmic Silver, สีเหลืองPastel Yellow, สีแดง Diamond Red, สีเทา Hampstead Grey, สีน้ำเงิน Como Blue เตรียมขายทั้งยุโรป เอเชีย ออสเตรเลียขายในช่วงปลายปีนี้ สำหรับเมืองไทยแน่นอนว่าพบกัน กรกฎาคมนี้

    ที่มา MG Europe

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts