ในที่สุด Nissan เปิดตัวรถตู้ไซซ์ยักษ์เจนที่สามอย่างเป็นทางการในชื่อ Nissan INTERSTAR สานต่อความสำเร็จในตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ยาวนาน 25 ปี
แน่นอนว่า Nissan INTERSTAR และ Nissan INTERSTAR-e เจนใหม่นี้ยืมพื้นฐานจาก Renault Master เจเนอเรชันที่สี่ อยู่ภายใต้ความร่วมมือของกลุ่ม Renault–Nissan–Mitsubishi Alliance มาดีไซน์บึกบึนแข็งแกร่ง โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ติดตรา INTERSTAR บนขอบกระจังหน้า และตราโลโก้ Nissan ขนาดใหญ่ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED รูปตัวซีขนาดใหญ่ พร้อมชุดไฟหน้ามัลติรีเฟลกเตอร์ สามดวงบนขอบฝากระโปรง
แถบสีเงินสี่เส้นเสริมแกร่งใต้ไฟหน้ารับกระจังหน้าพร้อมคิ้วเสริมในตัวในชุดกันชนทรงเข้มสีดำด้านข้างมาพร้อมหลังคาทรงสูง ประตูข้างเปิดสไลด์สองข้างเปิดกว้างกว่าเดิม 40 มิลลิเมตร ฝาท้ายเปิดได้สองข้างแบบตู้กับข้าว พร้อมไฟท้าย LED สีแดงแนวตั้ง และล้อกระทะพร้อมฝาครอบล้อแบบเต็มขนาด 16 นิ้วพร้อมยาง 195/75 R16 และขนาด 225/65 R16
ภายในมาพร้อมออปชันจำเป็นทั้งจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแบบ Apple CarPlay และ Android Auto มาตรวัดความเร็วแบบดิจิทัล พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน และเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ในชุดคอนโซลหน้าดีไซน์โค้งตัวเอสเอนเข้าหาคนขับเพื่อความสบายในการใช้งาน พร้อมช่องต่างๆ มากมาย เข้าถึงพอร์ต USB-C, ที่ชาร์จไร้สาย, ที่วางแก้ว, ลิ้นชัก, ชั้นเก็บของแบบติดประตู ช่องบนเพดานห้องโดยสาร กับเบาะนั่งสามที่นั่งหุ้มวัสดุผ้าสีดำเทา และพื้นที่ด้านท้ายเพิ่มขึ้น 100 มิลลิเมตร
มีสองขุมพลังให้เลือกเริ่มที่เวอร์ชันไฟฟ้าล้วนมาพร้อมความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 87 kWh 143 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร ที่ให้ระยะทางไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 460 กิโลเมตร รองรับการชาร์จไฟแบบกระแสตรง DC รองรับกำลังไฟสูงสุด 130 kW ภายใน 30 นาที จาก 10-80% และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับการชาร์จ 22 kW 4 ชั่วโมง จาก 10-100% ได้ระยะทางขับขี่ที่เพิ่มขึ้น 252 กิโลเมตร
และรุ่นเล็กความจุแบตเตอรี่ 40 kWh 130 แรงม้า วิ่งไกลสุด 200 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีขุมพลังดีเซลเทอร์โบ dCi ขนาด 2.0 ลิตร ที่มีหลากหลายความแรงตั้งแต่ 105 แรงม้า 130 แรงม้า 150 แรงม้า และ 170 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด พร้อมความสามารถในการลากจูง 2,500 กิโลกรัมทั้งสองขุมพลัง รองรับน้ำหนักการบรรทุกสูงสุดเกือบ 2 ตันในรุ่นดีเซล และ 1.6 ตันในเวอร์ชันไฟฟ้า
พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูง เช่น ระบบป้องกันการชนด้านหน้า (Forward Emergency Braking) เตือนผู้ขับขี่เหนื่อยล้า Drowsiness Warning เตือนแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System ช่วยควบคุมเสถียรภาพของส่วนพ่วงท้าย Trailer Sway Assist เป็นต้น มาพร้อมการรับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 160,000 กม. และการรับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร เตรียมขายยุโรปสิ้นปี 2024 ส่วนต้นฉบับอย่าง Renault Master ขายต้นปีนี้ช่วงเดือนมีนาคม
ที่มา Parkers
