นับเป็นค่ายรถยนต์อีกค่ายที่ขอเข้าร่วมสังคมรถอีวีอย่างเป็นทางการเมื่อค่ายรถอัลตร้าลักชัวรีอย่าง Bentley จากอังกฤษ ประกาศอย่างเป็นทางการว่า
เตรียมที่จะหยุดผลิตเครื่องยนต์ใหญ่สุดของค่าย W12 ออกจากตลาดพร้อมเดินหน้าสู่การผลิตอัครยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ สำหรับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ 12 สูบ รุ่น W12 6.0 ลิตร เปิดตัวครั้งแรกในปี 2003 ในรุ่นแรก Bentley Continental GT เจเนอเรชันแรก 560 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิด 650 นิวตันเมตรที่ 1,600–6,100 รอบ/นาที
และพัฒนามาเรื่อยๆจนพละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 37% และ มีแรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 25% ซึ่งเป็นผลจากการวิวัฒนาการและการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบควบคุม การพัฒนาการออกแบบระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและการระบายความร้อน เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ ระบบหัวฉีดและการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
และมาพัฒนาใหม่หมดในรุ่น Bentley Bentayga ในปี 2015 ติดตั้งระบบการปิดการทำงานของกระบอกสูบ ระบบไดเรคท์และพอร์ตอินเจคชั่น และเทอร์โบคู่
โดยสเปกเครื่องนี้ขนาด 6.0 ลิตร 12 สูบ 659 แรงม้าที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิด 900 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Active AWD คู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีด โดยติดตั้งในรถ Bentley Continental GT Speed, Bentayga และ Flying Spur รวมไปถึง Continental GT Mulliner และ Flying Spur Mulliner
สำหรับการผลิตเครื่องยนต์รุ่น W12 แต่ละเครื่องนั้นถูกผลิตขึ้นด้วยมือโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญด้วยระยะเวลากว่า 6.5 ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการทำการทดสอบที่ซับซ้อนกว่า 1 ชั่วโมงผ่านเครื่องวิเคราะห์เฉพาะทาง 3 เครื่อง โดยทุกสัปดาห์ เครื่องยนต์หนึ่งตัวจะถูกทดสอบการทำงานแบบเกินรอบการทดสอบ จากนั้นจะมีการแยกชิ้นส่วนออกทั้งหมดเพื่อการตรวจสอบส่วนงานผลิตเครื่องยนต์จะมีการส่งมอบเครื่องยนต์รุ่น W12 จำนวนมากกว่า 105,000 เครื่องก่อนการครบรอบ 20 ปีในปี 2023
เครื่องยนต์ W12 ผลิตที่โรงงานเมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ โดยจะสิ้นสุดการผลิตขุมพลังนี้ตั้งแต่ เมษายน ปี 2024 และเพื่อเป็นการส่งท้าย ทาง Bentley แนะนำ Bentley Batur ซึ่งผลิตโดย Bentley Mulliner เพียง 18 คันในโลกเท่านั้น
โดยตัวเครื่องยนต์ได้รับการยืนยันแล้วว่าสามารถผลิตพละกำลังได้กว่า 750 แรงม้า และ แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร ซึ่งตัวเลขแรงบิดที่เพิ่มขึ้นได้สร้าง ‘torque plateau’ ตามแบบฉบับของเบนท์ลีย์ที่ทำงานตั้งแต่ 1,750 รอบต่อนาที ถึง 5,000 รอบต่อนาที โดยมีกำลังสูงสุดที่ 5,500 รอบต่อนาที
นอกจากนี้ คอมเพรสเซอร์เทอร์โบชาร์จเจอร์ยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และท่ออากาศให้มีขนาดใหญ่ขึ้น 33% เพื่อผลิตพละกำลังสูงสุด โดยที่เครื่องยนต์รุ่นใหม่จะสามารถดูดอากาศเข้าไปมากกว่าหนึ่งตัน หรือ 1,050 กิโลกรัม/ชั่วโมง
ผนวกกับเครื่องทำความเย็นแบบอัดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีความลึกเพิ่มขึ้น 10 มิลลิเมตร ระบายความร้อนได้มากขึ้น 35% จากอากาศเข้าที่มีแรงดัน ช่วยลดอุณหภูมิได้ดีขึ้น ซึ่งหมายถึงประจุไฟฟ้าที่หนาแน่นขึ้นเพื่อพลังงานที่มากขึ้น
และด้วยนโยบาย Beyond100 เข้าสู่การเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมอีวีอย่างเต็มรูปแบบภายในช่วงต้นทศวรรษหน้าด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยลงเหลือ 0 กรัม/กิโลเมตร เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวรุ่น Bentayga Hybrid และ Flying Spur Hybrid
ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่เกินคาด และเมื่อเครื่องยนต์รุ่น W12 ยุติการผลิตในปี 2024 และยนตรกรรมทุกรุ่นจะมาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์รุ่น V6 แบบไฮบริดและสำหรับช่างผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 ชีวิตในฝ่ายผลิตเครื่องยนต์รุ่น W12 จะจัดการฝึกอบรมใหม่และโยกย้ายสู่หน่วยงานที่เหมาะสมในโรงงานเมืองครูว์ ส่วนพื้นที่การผลิตเครื่องยนต์รุ่น W12 จะถูกใช้เป็นสายการผลิตเครื่องยนต์สำหรับรุ่น Plug-in Hybrid แทน
นับเป็นการสิ้นสุดอัครขุมพลังที่ทรงพลังสุดของค่าย Bentley โดยขุมพลัง W12 เทอร์โบคู่นี้เหลือเพียงไม่มากก่อนสิ้นสุดสายการผลิต