ล่าสุดทาง XIAOMI Motors เปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับ XIAOMI SU7 ULTRA เก๋งอีวีมหาโหดที่ไม่มีใครเทียบเทียม
สำหรับ XIAOMI SU7 ULTRA พัฒนาจากต้นแบบ SU7 ULTRA Prototype รถที่เร็วที่สุดในโลกหวดกันที่สนาม Nürburgring ด้วยการทำลายสถิติ Lap Time ด้วยเวลา 6.46.874 นาทีโค่น Porsche TAYCAN Turbo GT ได้สำเร็จ (7.07 นาที)
ภายนอกโดดเด่นด้วยหลังคาแบบคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดใหญ่รวมถึงชุดตกแต่งแอโรพาร์ทเสริมหล่อทำให้ตัวรถมีแอโรไดนามิกที่ดีขึ้นเริ่มที่สเกิร์ตด้านหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ 3 ช่องทรง 3 เหลี่ยมพร้อมกรอบสีดำเข้ม สเกิร์ตด้านข้างเข้ารูปกะตัวรถแบบสีดำและลิ้นสปอยเลอร์หรือดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังแบบแอคทีฟสร้างแรงกดอากาศหรือ Downforce 285 กิโลกรัม เมื่อทำงานร่วมกับสปอยเลอร์หลัง
นอกจากหลังคาดำคาร์บอนไฟเบอร์แล้วยังมีชุดแต่งสีดำในส่วนอื่นๆทั้งกระจกมองข้างทรงสปูน ช่องระบายอากาศกรอบกระจกและสปอยเลอร์หลังปีกหลังพร้อมขา 2 ข้างมีความกว้าง 1,560 มิลลิเมตร และความยาว 240 มิลลิเมตร พร้อมล้ออัลลอยลายสปอร์ตเข้มขนาด 21 นิ้วมาพร้อมยางจาก Pirelli P Zero 5 พร้อมยางหน้า 265/35R21 และยางหลัง 305/30R21 การตกแต่งด้วยรายละเอียดสีทอง รวมถึงตราโลโก้ XIAOMI สัญลักษณ์ทองคำ 24 กะรัต บนฝากระโปรงหน้า
บนพื้นฐานเดิมทั้งไฟหน้า LED สี่ดวงเล็กคาดกลางด้วยไฟส่องสว่าง LED Daytime ในโคมเดียวกันด้านข้างออกแบบหลังคารถมีจุดยื่นๆออกมาสันนิษฐานว่าเป็นการทำงานของระบบ LiDAR มีทั้งกล้องและเซนเซอร์สำหรับการประมวลผลเพื่อควบคุมรถและบังคับรถอัตโนมัติมือจับประตูแบบซ่อนอยู่ในตัวประตู หลังคากระจกพร้อมกรอบกระจกสไตล์โอเปราสีดำและไฟท้าย LED ดีไซน์ทอดยาวครอบถึงฝาท้าย
ตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้า Modena Architecture นำพื้นฐานรุ่น SU7 เพิ่มชุดตกแต่งรอบคันมาทำให้มิติตัวรถเพิ่มขึ้นตั้งแต่
- ความยาว 5,115 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,970 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,465 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร
- ช่องวางของด้านหน้า 105 ลิตร
ภายในตกแต่งพิเศษให้เหนือกว่ารุ่น SU7 เริ่มที่โทนสีเหลืองสุดเจ็บตกแต่งในชุดเบาะนั่งทรงสปอร์ต เข็มขัดนิรภัย 3 จุด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านทรงหัวตัดท้ายตัดที่ทำจากคาร์บอนผสมกับหุ้มหนัง Alcantara เดินด้ายสีเหลืองพร้อม Center Mark สีเหลือง แผงประตู พร้อมการตกแต่งสไตล์คาร์บอนไฟเบอร์เช่นสคัรพเพลทชายประตู คอนโซลกลาง กระจกมองหลังและอื่นๆ
โดยมาแบบ 5 ที่นั่งพร้อม Hyper OS ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นสามารถขับเคลื่อนสมาร์ตโฟนและรถยนต์อัจฉริยะได้คอนโซลกลางดีไซน์เทียบชั้นรถยุโรปจอสัมผัสขนาดใหญ่ 16.1 นิ้วความละเอียด 3K แบบ LCD จอหลัง LCD 2 จอฝั่งละ 7.1 นิ้ว พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาดใหญ่ HUD 56 นิ้ว ประมวลผลเร็วจากการใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 8295 ลำโพง Dolby Atmos 25 ตำแหน่ง มีพื้นที่เก็บของด้านหลัง 517 ลิตร ที่ชาร์จมือถือไร้สาย 2 จุด กำลังชาร์จ 50W กระจกรถทั้งคันสามารถป้องกันรังสี UV ได้มากกว่า 99%
แน่นอนว่าคันมาแบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวแบ่งเป็นมอเตอร์ด้านหน้า V8 2 ตัว 578 แรงม้า และมอเตอร์ด้านหลัง V6 1 ตัว 392 แรงม้าพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ QILIN 2.0 จาก CATL ใช้แพลตฟอร์มไฟฟ้าแรงสูง 800V ความจุแบตเตอรี่ 93.7 kWh ให้กำลังรวม 1,548 แรงม้า แรงบิด 1,770 นิวตันเมตร
เร่งความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 5.86 วินาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรภายใน 1.98 วินาที ความเร็วสูงสุด 359 กิโลเมตร รอบสูงสุด 27,200 รอบต่อนาทีต่อชั่วโมงชาร์จได้ทั้งกระแสตรง DC รองรับการชาร์จไฟ 5.2 C โดยชาร์จแร็ว 11 นาทีรองรับกำลังชาร์จสูงสุด 490 kW 10-80% และกระแสสลับ AC วิ่งไกลสุด 620 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 598 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC
ระยะเบรก 30.8 เมตรจากความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากระบบห้ามล้อสมบูรณ์แบบประกอบด้วยดิสก์เบรกหน้าคาลิปเปอร์ Akebono 6 ลูกสูบพร้อมจานเบรกหน้าขนาด 430X40 มิลลิเมตรและด้านหลังคาลิปเปอร์ 4 ลูกสูบพร้อมจานเบรกหลังขนาด 410X32 มิลลิเมตรจานเบรกเซรามิกรองรับอุณหภูมิกว่า 1,300°C พร้อมกระจายแรงบิด Asil-D โช้คอัพจาก BLISTEIN
มาพร้อมระบบขับขี่อัจฉริยะ ประกอบด้วยเซนเซอร์ LiDAR 3 ตัว กล้อง 12 ตัว เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว รองรับระบบนำทางอัตโนมัติ (NOA) และจอดรถอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมี Xiaomi HAD เพิ่มความสามารถในการจอดรถอัตโนมัติขั้นสูงในอนาคต รวมทั้งระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
XIAOMI SU7 ULTRA เปิดราคาขายที่จีนเริ่ม 529,900 yuan หรือราว 2,489,000 บาท และเตรียมส่งมอบตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ คาดการณ์ว่าจะส่งมอบครบ 10,000 คันและคาดการณ์ว่ายอดขายจะอยู่ที่ 4,000 คันตลอดปี 2025
ด้วยกลยุทธ์ราคาที่สามารถแข่งขันได้และผู้ที่จองจะได้รับแพ็กเกจตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งภายในและภายนอกฟรีถึง 31 มีนาคม ล่าสุดกวาดยอดขายในจีน 10,000 คันภายใน 2 ชั่วโมงหลังเปิดตัวเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและเตรียมโกอินเตอร์เผยโฉมที่ยุโรป 3 มีนาคม
ที่มา CarNewsChina1 , 2
