More

    Ford Everest ตัดขาดโบคู่เน้นโบเดี่ยวและ V6 ขายออสซี่เริ่ม 1.2 ล้าน

    นอกจาก Ford Ranger ที่ปรับเปลี่ยนในส่วนหน้าตาและเครื่องยนต์แล้วทางด้านอเนกประสงค์อย่าง Ford Everest ก็มีการปรับด้วยเช่นกัน

    Ford Everest

    ด้วยการยกเลิกรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร ออกไปเปลี่ยนพลังใหม่เป็นดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ในรุ่นใหม่ ACTIVE และ Sport และยังมีเครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 เช่นเดิม สำหรับ Ford Everest MY2026 

    รุ่นย่อยใหม่

    ใหม่!! รุ่น Active เป็นการยุบรุ่น Ambiente และ Trend มารวมในรุ่นใหม่นี้ มาพร้อมออปชันใหม่ตั้งแต่ เบาะหนัง ระบบอินโฟเทนเมนต์หน้าจอสัมผัสขนาด 12 นิ้วและมีขุมพลังให้เลือกทั้ง 2.0 เทอร์โบเดี่ยว และ 3.0 V6 และรุ่นใหม่ Sport 2.0 รวมถึงรุ่นอื่นๆปรับลุคใหม่โดยเฉพาะรุ่น Platinum โลโก้ตัวอักษร Platinum สีดำเงา 3 ตำแหน่งบนฝากระโปรงหน้า บานประตูคู่หน้า และฝาท้าย กระจังหน้าทั้งชิ้นดีไซน์รังผึ้งสีดำติดตราโลโก้ Ford

    นอกนั้นเดิมๆในแต่ละรุ่นทั้ง ไฟหน้าแบบ LED และ LED MATRIX รูปตัว C พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟวิ่งกลางวันแบบแอลอีดี รูปตัว C ไฟตัดหมอกหน้า LED ด้านข้างตกแต่งช่องระบายอากาศด้านข้างตัวถัง Side Vent สองฝั่งทั้งสีดำโครเมียมและสีดำล้วน

    ราวหลังคารถแบบมีช่องขนาดใหญ่สำหรับติดตั้งแร็คหลังคา และราวหลังคาบิ๊วอิน เสาอากาศแบบเสาสั้น กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ไม่มีไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้างกับที่เปิดประตูจะตกแต่งด้วยสีดำเงา ช่องระบายอากาศตรงบังโคลนสองข้างเข้มด้วยสีดำผสมโครเมียม บันไดข้างสีดำ

    ไฟท้าย LED ดีไซน์ตัว U สีรมดำ แบบ Signature ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าพร้อมชุดเซนเซอร์เปิดฝาท้ายแบบสามารถใช้เท้ายื่นไปที่ใต้กันชนท้าย และระบบป้องกันการหนีบในชุดกันชนหลังแบบสีเดียวกับตัวรถพร้อมคิ้วสีดำใต้กันชนหลัง และล้ออัลลอย 6 ก้านคู่สีดำพร้อมยาง AT ขนาด 255/65R18 ในรุ่น ACTIVE ขนาด 20 พร้อมยาง 255/55 R20 ในรุ่น Sport และขนาด 21 นิ้วพร้อมยาง 275/45R21 ในรุ่น Platinum

    Ford Everest

    ในรุ่น Tremor ดัดแปลงจากรุ่น Sport ติดตั้งกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมสีดำเข้ม ติดไฟ AUX Lamp (ทำงานเมื่อเปิดไฟสูง) แผ่นกันกระแทกใต้ห้องเครื่องสีดำ ราวหลังคาสีดำรองรับน้ำหนักได้มากถึง 350 กิโลกรัมขณะรถจอดอยู่กับที่และรับน้ำหนักได้มากถึง 100 กิโลกรัมขณะรถเคลื่อนที่ ชุดแต่งสีดำตัวรถทั้งช่องระบายอากาศฝั่งบังโคลนซ้าย-ขวา กระจกมองข้าง ที่เปิดประตู กรอบกระจก บันไดเหยียบข้างสีดำเข้มแข็งแรง ชุดไฟท้าย LED

    ตราสัญลักษณ์ Tremor ที่ด้านข้างประตูรถกับด้านท้ายและล้ออัลลอยลายเข้มขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง AT จาก General Grabber AT3 All-Terrain ขนาด 265/70 R17 พร้อมคิ้วขอบล้อสีเทา Bolder Grey

    Ford Everest

    ภายในเดิม

    ด้วยเท่ตั้งแต่เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำ เบาะปรับคู่หน้าด้วยไฟฟ้า 10 ทิศทางสำหรับคนขับและ 8 ทิศทางสำหรับคนนั่ง ในรุ่น Platinum และ คนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางในรุ่น Sport (ด้านคนขับปรับมือ 8 ทิศทางในรุ่น ACTIVE) และปรับธรรมดา 4 ทิศทางสำหรับคนนั่ง ในรุ่น Sport และ ACTIVE เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 และพับไฟฟ้า ที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆ

    พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านหุ้มหนัง ระบบการชาร์จแบบไร้สาย พร้อมเบรกมือไฟฟ้า แผงมาตรวัดดิจิทัลขนาด 8 และขนาด 12.4 นิ้ว หน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 12 นิ้ว หน้าจอแยกส่วนเพื่อให้จอดรถได้สะดวกยิ่งขึ้นในพื้นที่แคบ มาพร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4 รองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพื่อการสื่อสาร ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงและเข้าถึงข้อมูลต่างๆ พร้อมลำโพง  8-10 จุด และลำโพง B&O ระดับพรีเมียม 12 ตัว พร้อมซับวูฟเฟอร์  ช่องต่อไฟ 12V (12V Power Sockets) และ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลางเสียบปลั๊กต่อชาร์จมือถือ โน้ตบุ๊คได้

    มีสวิตช์ควบคุมการทำงานของแอร์หลังได้ พร้อมแอปพลิเคชัน FordPass™ ช่วยให้ลูกค้านัดเข้ารับบริการผ่านช่องทางออนไลน์สั่ง สตาร์ทรถผ่านทางแอปฯ ได้ สามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็กสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อก และปลดล็อกผ่านโทรศัพท์มือถือ

    ส่วนรุ่น Tremor สีเข้มตกแต่งแบบ Ebony เบาะนั่งหุ้มหนังกันน้ำสีเทาเข้ม Medium Dark Urban Grey ปักโลโก้ Tremor สีส้มในตัวเบาะด้านคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางและปรับธรรมดา 4 ทิศทางสำหรับคนนั่ง  และผ้ายางปูพื้นกันการเปรอะเปื้อน

    Ford Everest

    ขุมพลังพัฒนาใหม่

    โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว P02S 170 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ปรับในส่วนรายละเอียดเช่นการใช้ระบบโซ่ราวลิ้น แทนสายพานจุ่มน้ำมัน (Wet Belt) ให้ความทนกว่า ดูแลง่ายกว่า และอัพเกรดระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง

    พร้อมระบบส่งกำลังใหม่จากเดิมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด 6R80 มาเป็นลูกใหม่ 10 สปีด คาดอาจใช้แบบ e-Shifter รุ่น 10R80  จับคู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-Time

    Ford Everest

    และยังมีขุมพลังดีเซลเทอร์โบ V6 ในรหัส BFWS ขนาด 3.0 ลิตร Power Stroke ที่ให้กำลังมากถึง 250 แรงม้าที่ 3,250 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ e-Shifter รุ่น 10R80

    ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time 4WD แบบ e-Shifter (2H,4H,4L และ 4A) ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case–EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้า

    ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทั้ง 2.0 และ 3.0 V6 ดีเซลมา พร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System 7 โหมด ทั้งโหมดทั่วไป Normal, โหมดประหยัด Eco, ลากจูงและบรรทุก Tow/Haul, โหมดทางลื่น Slippery และยามลุยมีทั้งโหมดทราย Sand, โหมดโคลน Mud/Ruts และเพิ่มโหมดหิน Rock Crawl ในรุ่น Tremor พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential

    ทั้ง 2 ความแรงมาพร้อมไส้กรองเขม่าดีเซล (DPF) สามารถเติมน้ำยาบำบัดไอเสียดีเซล (DEF) หรือสารแอดบลู (AdBlue®)

    Ford Everest

    ด้านรุ่น Tremor ช่วงล่างโหดเต็มคาราเบลจากโช้คอัพ Bilstein Position-Sensitive แบบโมโนทิวบ์ พร้อมเทคโนโลยี End Stop Control Valve (ESCV) รองรับการบรรทุกและการโดยสารที่แน่นจิกทุกโค้ง รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้ยาง AT ส่งผลให้มีการขยายพื้นที่ด้านหน้าและหลังกว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร ความสูงจากใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 26 มิลลิเมตร บนพื้นฐานช่วงล่างด้านหน้าอิสระปีกนกคู่ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง

    พร้อมพวงมาลัยพาวเวอร์เป็นแบบไฟฟ้า EPS (Electronic Steering Program) น้ำหนักเบา คล่องตัวดีแต่ยังคงความเด่นในการลากจูงได้สูงสุด 3,500 กิโลกรัม ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร

    ยังเพิ่มแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถเพิ่มเติมทั้งใต้เครื่องยนต์ ใต้ชุดเกียร์และใต้ถังน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบกันสะเทือนหน้าแบบปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงสำหรับด้านหน้า ด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง เน้นการนุ่มนวล หนึบไม่กระด้างเกาะถนนดี

    Ford Everest

    ความปลอดภัย

    • ควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control
    • เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam
    • ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน จักรยาน และทางแยก Autonomous emergency braking (AEB) with Pedestrian, Cyclist, Car Detection Junction assist
    • เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support
    • ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
    • ตรวจจับรถในจุดบอด Blind Spot Information System
    • ตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Cross-Traffic Alert and Braking
    • ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
    • ช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist
    • อ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition

    อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 9 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย ถุงลมบริเวณหัวเข่าและตรงกลางเบาะนั่งคนขับ ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน กล้องมองภาพรอบคันและด้าหลัง ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ดิสก์เบรก 4 ล้อ

    ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System) ช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation) ควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) สัญญาณกันขโมยและกุญแจนิรภัย Security Alarm System and Immobilizer

    Ford Everest

    Ford Everest MY2026 ขายทั้งหมด 6 รุ่นย่อย 4 เกรดความเท่ทั้งรุ่น ACTIVE, Sport, Tremor และ Platinum มาพร้อมราคาไม่รวมค่า Drive-away ของออสเตรเลีย $58,990- $83,490  หรือราว 1,235,000-1,745,000 บาท มาพร้อม 2 สีใหม่ทั้ง สีขาว Alabaster White และสีเขียว Acacia Green จะเปิดรับจองตั้งแต่เดือนธันวาคมและกำหนดส่งมอบให้ลูกค้าในช่วงกลางปี ​​2026

     

    ที่มา CarExpert

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts