อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนตุลาคม 2568 มีทิศทางหลากหลาย โดยยอดผลิตและยอดขายเติบโต แต่ยอดส่งออกยังหดตัว ขณะที่ ‘ส.อ.ท.’ ระบุว่ายานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทโดดเด่นจากการขยายตัวอย่างชัดเจน
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เดือนตุลาคม 2568 มีทิศทางที่หลากหลาย โดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้รายงานภาพรวมว่า ตัวเลขการผลิต ยอดขายในประเทศ และยอดส่งออกมีทิศทางผสมผสานซึ่งจุดเด่นที่สำคัญคือการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทรวมถึงรถกระบะไฟฟ้า (BEV) ที่เริ่มมีการผลิต การขาย และส่งออกจริงจัง
โดยในเดือนตุลาคม 2568 มีการผลิตรถยนต์รวม 135,685 คัน เพิ่มขึ้น 14.17% จากปีก่อน และเพิ่มจากเดือนกันยายน 5.92% โดยกลุ่มรถยนต์นั่งผลิตได้ 55,997 คัน เพิ่มขึ้นถึง 17.94% ซึ่งที่โดดเด่นมากคือรถไฟฟ้า (BEV) ที่ผลิตได้ 9,393 คัน เพิ่มขึ้นถึง 1,265% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในส่วนของรถไฮบริด ( HEV) และรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่รถยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีการผลิตลดลงตามทิศทางของตลาด
ขณะที่รถกระบะขนาด 1 ตันยังเป็นฐานการผลิตหลักของไทย ที่ผลิตได้ 78,386 คัน เพิ่มขึ้น 11.16% และมีการผลิตรถกระบะไฟฟ้า ออกมาแล้ว 30 คัน โดยยอดผลิตสะสม 10 เดือนยังคิดเป็นกว่า 62% ของการผลิตทั้งหมด
สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก เดือนตุลาคมอยู่ที่ 82,603 คัน ลดลง 5.86% ขณะที่การผลิตเพื่อขายในประเทศพุ่งแรงมากถึง 70.68% อยู่ที่ 53,082 คัน บ่งบอกถึงความต้องการภายในประเทศที่กำลังฟื้นตัว
ในด้านยอดขาย นายสุรพงษ์เผยว่า เดือนตุลาคมขายรถได้ 47,032 คัน เพิ่มขึ้น 24.78% จากปีก่อน แม้ลดลงเล็กน้อยจากเดือนกันยายน โดยรถยนต์นั่งมียอดขายกว่า 31,000 คัน โดย BEV ทำยอดขาย 8,479 คัน เพิ่มขึ้น 128.11% และ HEV ขายได้ 12,354 คัน เพิ่มขึ้นเกือบ 96%
กลุ่มรถกระบะขาย 10,084 คัน ลดลง 7.45% แต่มียอดขายรถกระบะไฟฟ้าที่ขายจริงเป็นครั้งแรกมี 38 คัน
ส่วนตลาด PPV ขยายตัวถึง 40.76%
ทั้งนี้ยอดขายสะสม 10 เดือนของปีนี้อยู่ที่ 495,001 คัน เพิ่มขึ้น 3.92% โดยเฉพาะรถนั่ง BEV ที่ขายไป 89,984 คัน เพิ่มขึ้น 60.87% ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดในปีนี้
สำหรับด้านการส่งออก นายสุรพงษ์กล่าวว่า ในเดือนตุลาคมมีการส่งออกรถสำเร็จรูป 83,064 คัน ลดลง 1.51% รถกระบะยังเป็นสินค้าหลัก ที่ส่งออก 47,377 คัน เพิ่มขึ้น 3.17% ซึ่งไทยเริ่มส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ได้แก่
- รถกระบะไฟฟ้า BEV 37 คัน
- รถยนต์นั่ง BEV 377 คัน
- รถยนต์ PHEV 571 คัน
“ภาคส่งออกยังได้รับแรงหนุนจากมูลค่าส่งออกเครื่องยนต์และชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นกว่า 12% แม้มูลค่ารวมการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนจะลดลงเล็กน้อย 0.59%” นายสุรพงษ์ กล่าวเสริม
ขณะที่การผลิตรถจักรยานยนต์เดือนตุลาคมลดลง 28.95% อยู่ที่ 209,161 คัน ยอดขายในประเทศ 133,706 คัน ยังถือว่าอยู่ในระดับทรงตัว โดยมียอดขายสะสม 10 เดือนเติบโตขึ้น 1.92%
นายสุรพงษ์ได้แสดงความเห็นว่ามีสัญญาณบวกชัดเจนสำหรับตลาดประเทศไทย ในเดือนตุลาคม โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตทุกกลุ่ม แม้ภาคการผลิตและการส่งออกยังต้องจับตาความผันผวนเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของตลาดหลัก แต่ไทยยังคงรักษาขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดรถกระบะและชิ้นส่วนยานยนต์ได้อย่างต่อเนื่อง
และกล่าวถึง สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ว่า หากสถานการณ์น้ำท่วมเกิน 1 สัปดาห์ขึ้นไปก็น่าจะส่งผลกระทบ เพราะปกติแล้วถ้าเศรษฐกิจภาคใต้ดี ยางพาราดี รถกระบะก็จะขายได้มาก อย่างไรก็ดีจะมีการประชุมหารือว่า คำสั่งซื้อในภาคใต้จังหวัดที่มีน้ำท่วม เป็นอย่างไร และจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ แม้ว่าการผลิตและการส่งออกรถยนต์จะยังผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ตลาดในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปลายปีมีความน่าสนใจ และมีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของตลาดส่งออกในระยะต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก: matichon
ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้ที่: car2day.com










