ช่วงนี้บ้านเรากำลังเข้าสู่ฤดูฝน หลายพื้นที่ฝนตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทาง บางแห่งก็น้ำท่วมสูง จนคันข้าง ๆ สาดเข้ามาที่กระจกรถของคุณ จนทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นยากลำบาก นั่นอาจทำให้การสัญจรไปมาบนท้องถนนเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าหากไม่มีทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ก็เสี่ยงมากขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องหาวิธีจัดการกับปัญหานี้โดยตรง โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้นการดูแลกระจกรถให้ใส น้ำไม่เกาะจนบดบังเส้นทางจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้นไปด้วย
ขั้นตอนการเคลือบกระจกรถยนต์ที่ใครๆ ก็ทำได้ด้วยตัวเองมาฝาก ดังนี้
- ให้ยกที่ปัดน้ำฝนของรถยนต์ขึ้นทั้งสองข้าง เพื่อความสะดวกในการชะล้างฝุ่นละออง คราบดิน คราบสกปรกต่าง ๆในขั้นแรกให้เกลี้ยง
- ล้างกระจกรถด้วยแชมพูล้างรถ โดยระหว่างล้างให้ลองเอามือลูบ ๆ ลงบนผิวกระจก เพื่อตรวจดูว่ามีสิ่งสกปรกติดอยู่หรือไม่ หากตรวจเช็คว่าเรียบเนียนไม่มีคราบสกปรกแล้ว หลังจากนั้นใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดให้แห้ง
- หาเทปสำหรับปิดขอบยาง ขอบคิ้วกระจก ขอบไฟเบอร์รถ เพื่อกันน้ำยาเคลือบไปโดนและอาจจะทำให้มีรอยด่างได้ ลักษณะเทปควรเป็นเทปกาวที่ใช้สำหรับทำสีรถ
- เทน้ำยาเคลือบกระจกลงบนผ้าสะอาด หรือฟองน้ำละเอียด เช็ดกระจกเป็นวงเล็ก ๆ ค่อย ๆ วนทีละส่วน โดยไล่จากบนลงล่างให้ทั่ว ขณะเช็ดกระจก ระวังอย่าให้โดนสี หรือชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ไม่ใช่กระจก หากน้ำยาไปโดนส่วนอื่นควรเช็ดออกโดยทันที และทำความสะอาดกระจกด้วยน้ำยาเช็ดกระจกอีกครั้ง
- รอน้ำยาทำปฏิกิริยากับกระจกจนเงาและขึ้นฝ้า ประมาณ 5 – 10 นาที
- ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าแห้งขนนุ่มสะอาดเช็ดจนกระจกใส และไม่หลงเหลือคราบฝ้าของน้ำยาเคลือบบนกระจกรถ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กระจกรถยนต์ที่ใสกิ๊งตลอดเวลา ไม่หวั่นแม้วันฝนตกหนักแค่ไหน
สำหรับปัญหาในการเคลือบกระจกที่มีหลายคนพูดถึง คือ เกรงว่าหากเคลือบไปแล้ว ยางที่ปัดน้ำฝนจะไม่ขนาดเรียบกับกระจก ทางเราขอแนะนำให้เช็คคุณภาพของกระจกก่อนที่จะทำการเคลือบ เพราะถ้าหากมีเศษฝุ่น หรือขี้นก ติดอยู่เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้เกิดความไม่เรียบเนียนในการปัดน้ำฝนได้ และควรเช็คยางปัดน้ำฝนด้วยว่าเสื่อมคุณภาพหรือยัง
แต่ถ้าหากเกิดเหตุอย่างเช่น มีเศษ หิน ดิน ทราย กระเด็นเข้ากระจกรถ จากรถที่วิ่งสวนทางกัน แล้วกระจกเกิดรอยร้าว อันนี้ต้องรีบเปลี่ยนกระจกโดยด่วน อย่างฝืนใช้น้ำยาเคลือบนะคะ เพราะอาจจะทำให้อันตรายยิ่งกว่าเดิม
บทความอื่น ๆ