หลังจากที่ประเดิมนำขุมพลัง Plug In Hybrid เข้ามาทำตลาดในไทยด้วย Audi Q7 60 TFSI e & Q8 60 TFSI e ล่าสุดแนะนำ The New Audi Q5 55 TFSI e Series
โดย อาวดี้ ประเทศไทย เดินหน้าต่อกับรถปลั๊กอินไฮบริด เจเนอเรชั่นล่าสุด รุ่นที่ 3 The New Audi Q5 55 TFSI e Series มากันสองตัวถังทั้งรุ่นปกติและรุ่น Sportback มาถึง 3 รุ่นย่อย เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ด้วยระยะการวิ่งด้วยไฟฟ้าที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้า 100% อย่างเต็มรูปแบบ
The New Audi Q5 55 TFSI e ตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ทุกมิติ ดีไซน์สปอร์ต ปราดเปรียว ขับสนุก สมรรถนะดีเยี่ยม จากเครื่องยนต์ที่มีกำลังมากเพียงพอต่อการใช้งานเริ่มมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ S line และ S line black edition ในรุ่น S line เป็นรุ่นเริ่มต้นมีชุดแต่ง S line สี Chromium พร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235 / 55 R19 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพียงพอต่อการใช้งาน เช่น ไฟหน้า LED มาพร้อมไฟ daytime เปิดปิดไฟหน้าและปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เบาะคู่หน้าแบบสปอร์ตปรับไฟฟ้า ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 3 โซน ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มขับขี่ Comfort key และ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว
ขณะที่ใน The New Audi Q5 55 TFSI e รุ่น S line Black Edition มาพร้อมกับความสปอร์ตที่มากขึ้นด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/45R20 และชุดแต่ง S line Black Edition ซึ่งถูกตกแต่งด้วยขอบคิ้วกระจกและช่องลมต่างๆ สีดำ ซึ่งต่างจากตัวเริ่มต้น ที่เป็นสี Chromium ภายในเป็นแบบ S line ด้วยเช่นเดียวกัน พวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ S line เบาะแบบ Sport ลาย Diamond cut หุ้มหนัง Fine Nappa พร้อมสัญลักษณ์ S line ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang&Olufsen พร้อมระบบ 3 มิติ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist)ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist)
The New Audi Q5 Sportback 55 TFSI e นับเป็นครั้งแรกของการเปิดตัวทรง Sportback ในประเทศไทย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบความสปอร์ตที่เหนือกว่า ด้วยรูปทรงที่ด้านท้ายลาดลงแบบสไตล์รถคูเป้ Audi Q5 Sportback 55 TFSI e มาพร้อมกับความสปอร์ตที่มากขึ้นด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/45R20 และชุดแต่ง S line Black Edition ซึ่งถูกตกแต่งด้วยขอบคิ้วกระจกและช่องลมต่างๆ สีดำ ซึ่งต่างจากตัวเริ่มต้นที่เป็นสีเงิน ภายในเป็นแบบ S line ด้วยเช่นเดียวกัน พวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ S line เบาะแบบ sport ลาย Diamond cut หุ้มหนัง Fine Nappa พร้อมสัญลักษณ์ S line
นอกจากโดดเด่นด้านความสปอร์ตแล้วยังมีอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน อาทิ ไฟหน้า LED มาพร้อมไฟ daytime เปิดปิดไฟหน้าและปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เบาะคู่หน้าแบบสปอร์ตปรับไฟฟ้า ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มขับขี่ Comfort key หน้าจอ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแยกอิสระ 3 โซน ระบบ comfort key หลังคา Panoramic sunroof และระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang&Olufsen พร้อมระบบ 3 มิติ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist)
The New Audi Q5 55 TFSI e quattro และ The New Audi Q5 Sportback 55 TFSI e quattro มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ รหัส DRY 2.0 TFSI ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้าที่ 5,250-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาด 17.9 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มาพร้อมกับ on board charger ขนาด 7.4 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เมื่อผนวกพละกำลังกันแล้ว ทำให้มีกำลังแรงม้า รวมสูงสุดถึง 367 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด S tronic ส่งกำลังผ่านระบบ quattro with ultra technology โดยระบบขับเคลื่อนจะสามารถปรับให้ขับเคลื่อนแค่ล้อหน้าได้ในกรณีที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อช่วยในการประหยัดน้ำมันและจะสามารถเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อได้ทันที เมื่อมีความจำเป็น
นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งอยู่ในบริเวณใต้ที่เก็บสัมภาระท้ายรถ ผลิตจาก prismatic cell จำนวน 104 เซลล์ ซึ่งทำให้อัตราสิ้นเปลืองของ The New Audi Q5 55 TFSI e quattro อยู่ที่ 52.6 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อย co2 เพียง 44.5 กรัมต่อกิโลเมตร ขับสนุกเร่งแซงทันใจด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 239 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อใช้กำลังจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าอย่างเดียว สามารถวิ่งได้ไกลถึง 54.3 กิโลเมตร และความเร็วสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ที่ 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากความเร็วมากกว่านั้น เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเพื่อเสริมแรงบิดร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
โดยเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ถูกออกแบบมาให้มีความชาญฉลาดสุดๆ ภายใต้โหมดการขับขี่ที่หลากหลายตอบโจทย์การขับขี่ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองด้วยระบบไฟฟ้าล้วน การขับขี่ทางไกล หรือการขับขี่แบบสปอร์ต ที่สำคัญประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม เพราะถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยโหมด EV ใช้ไฟฟ้าล้วนเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้งานที่ระยะทางไกล ก็สามารถเลือกใช้โหมดการขับขี่แบบ Auto ได้ ขณะที่ลูกค้าที่ต้องการความรู้สึกแบบสปอร์ตและความสนุกสนานในการขับขี่ ก็สามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบ Dynamic ที่จะมีการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ได้กำลังสูงสุด สำหรับลูกค้าที่ต้องการปรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง ก็สามารถตั้งค่าการใช้งานในโหมดการขับขี่แบบ Individual ได้อีกด้วย
สามารถจัดการรูปแบบการใช้พลังงานในการขับขี่ได้ 2 แบบ คือ EV mode และแบบ Hybrid โดยการจัดการพลังงานแบบ EV mode ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะถูกใช้งานทุกครั้งหลังจากที่สตาร์ทรถ โดยตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนตราบใดที่ผู้ขับไม่เหยียบคันเร่งลึกกว่าจุดที่กำหนด จึงประหยัดน้ำมันมากที่สุด ส่วนการจัดการพลังงานแบบ Hybrid แบ่งออกเป็น 3 โหมดด้วยกัน โหมดแรกคือ Auto Hybrid ตัวรถจะมีการจัดการการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างอัตโนมัติ ตามสภาวะการขับขี่ โหมดที่สองคือ Battery Hold เป็นโหมดที่จะรักษาระดับพลังงานของแบตเตอรี่ไว้ให้คงเดิมและโหมดสุดท้าย Battery Charge ตัวรถจะมีการชาร์จแบตเตอรี่ให้ได้มากที่สุด โดยเครื่องยนต์จะมีบทบาทในการทำงานมากขึ้น
การนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (Energy Recuperation) ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างยอดเยี่ยม เมื่อผู้ขับขี่ถอนคันเร่งระบบจะประมวลผลการขับขี่ตามสถานการณ์ เพื่อชาร์จไฟคืนกลับสู่แบตเตอรี่ ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ การปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว (Coasting Recuperation) ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำการลดความเร็วลง จากนั้นระบบจะแปลงเป็นการชาร์จไฟคืนกลับสู่แบตเตอรี่ได้ถึง 25 กิโลวัตต์ และการเบรกชะลอความเร็วด้วยการหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า (Brake Recuperation) เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรก เพื่อให้รถชะลอความเร็ว จะสามารถชาร์จไฟคืนกลับสู่แบตเตอรี่ได้ถึง 80 กิโลวัตต์ และยังใช้เวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อชาร์จด้วยระบบไฟ Industrial ที่มีแรงดันไฟฟ้า 400 โวลต์ 16 แอมป์ หรือ Wallbox ที่มีกำลังไฟ 7.4 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นต้นไป ทั้งนี้ยังมาพร้อมกับเครื่องชาร์จแบบ Compact สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้าน
The New Audi Q5 55 TFSI e S line มีให้เลือก 3 สี คือ Glacier White metallic, Mythos Black metallic ซึ่งจับคู่กับสีภายใน Okapi brown และ Chronos Grey metallic จับคู่กับสีภายใน Black และสีภายนอก ของ Audi Q5 55 TFSI e Black Edition และ The New Audi Q5 Sportback 55 TFSI e Black Edition สามารถเลือกสีภายนอกได้ถึง 5 สี คือ Glacier white metallic, Mythos black metallic, Ultra blue metallic, District green metallic และ Chronos grey metallic จับคู่กับภายในสีดำ
ภายใต้นโยบายของ อาวดี้ อยากให้ลูกค้าเป็นเจ้าของยนตรกรรมได้ไม่ยากนัก ราคาของ The New Audi Q5 ทั้ง 3 รุ่น นับว่าสุดคุ้มและพิเศษสุดๆโดยเปิดจองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พร้อมทยอยส่งมอบในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 และมีราคาดังต่อไปนี้
– Audi Q5 55 TFSI e quattro S line ราคา 3,699,000 บาท
– Audi Q5 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 3,950,000 บาท
– Audi Q5 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 4,190,000 บาท