More

    ถ่ายของเหลวตรงเวลา ช่วยรักษาสภาพรถของคุณ

    เมื่อคุณได้เป็นเจ้าของรถสักคันหนึ่ง สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้นั้นไม่ได้มีเพียงแค่การขับรถให้ถูกวิธีหรือถูกกฎหมาย คุณยังต้องรู้จักการบำรุงรักษารถของคุณเอง และสิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำเพื่อบำรุงรักษารถให้อยู่กับคุณไปนานๆ นั่นคือ การเปลี่ยนถ่ายของเหลว

    การเปลี่ยนถ่ายของเหลวคืออะไร?

    การเปลี่ยนถ่ายของเหลวคือการถ่ายเอาของเหลวเก่าที่อยู่ในส่วนต่างๆ ของรถออกมาแล้วใส่ของใหม่เข้าไปแทน เนื่องจากของเหลวพวกนี้ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการหล่อลื่นชิ้นส่วนเคลื่อนไหวต่างๆ ทำให้มันต้องพบกับสภาพความร้อนสูงและเสื่อมสภาพลง

    ทำไมเราจึงต้องเปลี่ยนถ่ายของเหลว?

    หากคุณยังฝืนใช้รถเกินกว่าระยะกำหนดการเปลี่ยนถ่ายของเหลว ของเหลวที่เสื่อมสภาพจะไม่สามารถปกป้องชิ้นส่วนต่างๆ ภายในรถของคุณได้ นั่นทำให้รถของคุณสึกหรอและเสื่อมสภาพลงเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้คุณต้องเสียเงินทองโดยไม่จำเป็นหรือแม้กระทั่งทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้

    เราสามารถเปลี่ยนถ่ายของเหลวได้ที่ไหน?

    หากคุณพอมีเวลาว่าง คุณสามารถศึกษาการเปลี่ยนถ่ายจากคู่มือแนะนำหรือคู่มือการซ่อมรถแล้วเปลี่ยนถ่ายของเหลวเองที่บ้านได้ แต่ถ้าหากคุณไม่มีเวลาว่างหรือคุณไม่สะดวกที่จะทำเอง อู่ซ่อมรถต่างๆ รวมถึงศูนย์บริการยี่ห้อรถของคุณก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ซึ่งคุณสามารถที่จะติดต่อขอจองคิวล่วงหน้าเพื่อความสะดวกได้อีกด้วย

    มีของเหลวอะไรบ้างที่จำเป็นต้องเปลี่ยน?

    สำหรับการเปลี่ยนถ่ายของเหลวในเบื้องต้นนั้น มีของเหลวประมาณ 6 อย่างที่คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่าย และอีก 2 อย่างที่คุณจำเป็นต้องหมั่นตรวจเช็คเพื่อไม่ให้มันพร่องจนเกิดปัญหา

    6 ของเหลวที่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายเมื่อถึงกำหนด

    • น้ำมันเครื่อง

    Synthtic Oil

    โดยทั่วไปแล้วน้ำมันเครื่องสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา, น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ และ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ซึ่งแต่ละชนิดมีระยะเวลากำหนดเปลี่ยนถ่ายดังนี้

    • น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา : 5,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 3 เดือน
    • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ : 7,000 – 8,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 6 เดือน
    • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ : 10,000 – 15,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 6 เดือน ถึง 1 ปี

    อย่างไรก็ตามระยะกำหนดเปลี่ยนถ่ายอาจมียืดหยุ่นได้โดยหากคุณใช้รถเป็นประจำหรือเดินทางบ่อย การเปลี่ยนถ่ายอาจจะต้องทำเร็วขึ้นกว่ากำหนดข้างต้น

    • น้ำมันเกียร์

    Transmission Fluid

    สำหรับรถยนต์นั้นไม่ว่าจะเป็นเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ ระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันจะอยู่ที่ 40,000 กิโลเมตร แต่ถ้าหากเป็นรถที่ถูกใช้งานหนักหรือบ่อยครั้ง คุณสามารถลดระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ลงมาอยู่ที่ 30,000 กิโลเมตร ได้ โดยเฉพาะเกียร์ CVT ซึ่งต้องการการเอาใจใส่เป็นพิเศษ เนื่องจากชุดเกียร์นั้นสึกหรอได้ง่ายและมีราคาค่อนข้างสูง

    • น้ำมันเบรก

    Brake Fluid

    น้ำมันเบรกในบ้านเรานั้นสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภทตามจุดเดือดของมัน คือ DOT3, DOT4 และ DOT5 แต่ละประเภทนั้นควรถูกเปลี่ยนถ่ายทุกๆ 40,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 1 ปี หากคุณเป็นคนที่ใช้งานรถน้อย อันที่จริงแล้วน้ำมันเบรกสามารถถูกใช้งานได้ถึง 80,000 กิโลเมตร หรือยาวนาน 3 ปี แต่นั่นอาจจะมีความเสี่ยงเกินไปจากสภาวะการใช้งานของผู้ขับขี่หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อม ดังนั้น 40,000 กิโลเมตร เป็นระยะปลอดภัยที่เราแนะนำให้คุณเปลี่ยน

    • น้ำมันพาวเวอร์

    ถึงแม้ว่าปัจจุบันรถยนต์ส่วนใหญ่จะหันมาใช้พวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันพาวเวอร์ แต่ก็ยังมีรถบางส่วนที่ยังคงใช้พวงมาลัยไฮดรอลิคอยู่ รถพวกนี้จำเป็นต้องถูกเปลี่ยนถ่ายถ่ายน้ำมันพาวเวอร์ทุกๆ 80,000 กิโลเมตร และคุณอาจจะต้องตรวจเช็คระดับน้ำมันทุกๆ ปี

    • น้ำมันคลัตช์

    เป็นน้ำมันที่มีเฉพาะในรถยนต์เกียร์ธรรมดา โดยปกติแล้วเราจะไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันคลัตช์หากระบบไม่เกิดปัญหาผิดปกติ แต่หากคุณเป็นกังวลและอยากให้คลัตช์ของคุณมีความสดใหม่ คุณสามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคลัตช์พร้อมๆ กับช่วงเวลาที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกได้

    • น้ำยาหม้อน้ำ

    Liquid Coolant

    น้ำยาหม้อน้ำหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าน้ำยาหล่อเย็น เป็นน้ำยาที่ช่วยป้องกันการเกิดสนิมในหม้อน้ำ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มจุดเดือดของน้ำ น้ำยาหม้อน้ำนั้นมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อน้ำยาและยี่ห้อรถ ฉะนั้นคุณควรจะอ้างอิงชนิดและการเปลี่ยนถ่ายจากคู่มือการใช้รถของคุณจะเป็นการดีที่สุด อย่างไรก็ตามเหล่าบรรดาค่ายผู้ผลิตรถเองก็มีคำแนะนำค่าเฉลี่ยระยะกำหนดเปลี่ยนถ่ายอยู่ที่ 50,000 กิโลเมตร

    2 ของเหลวที่คุณต้องหมั่นเติมเข้าไปในระบบ

    • น้ำกลั่นแบตเตอรี

    แบตเตอรีที่ถูกใช้ในรถนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด และชนิดที่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นไม่ให้มันพร่องก็คือ แบตเตอรีชนิดน้ำ แบตเตอรีชนิดกึ่งแห้ง และแบตเตอรีไฮบริด คุณสามารถดูระดับน้ำในแบตเตอรีของคุณได้ที่ช่องตาแมว หากมันลดต่ำลงไปมากให้เติมน้ำกลั่นให้ขึ้นมาถึงระดับปกติ

    • น้ำยาฉีดกระจก

    อย่างสุดท้ายที่ถึงแม้น้ำจะหมดจากถังก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อรถของคุณ แต่มันจะก่อปัญหาด้านทัศนวิสัยให้กับคุณในตอนที่คุณต้องการล้างกระจกแต่ไม่มีน้ำเหลือสักหยดในถัง โดยปกติแล้วคุณสามารถตรวจสอบระดับน้ำได้ด้วยความถี่สัปดาห์ละครั้ง คุณสามารถใช้น้ำเปล่าเติมลงไปหรือซื้อน้ำยามาผสมตามอัตราส่วนที่เขียนไว้ข้างขวดได้

    อ้างอิง : mygaragestory.net , rxmechanic.com , autoblog.com , cartreatments.com

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts