Honda นั้นมีฤดูกาลที่ย่ำแย่ในปี 2022 ซึ่งนักบิดทั้ง 4 คน ในสังกัด ไม่มีใครสามารถที่จะเก็บชัยชนะได้เลย แม้กระทั่ง Marc Marquez ที่มีดีกรีแชมป์โลก 8 สมัย ก็ตาม ดังนั้น Marquez ผู้ที่เคยแบก Honda มาโดยตลอดก็น่าจะเป็นผู้ที่ตอบได้ดีที่สุดว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวแข่ง RC213V ?
Honda เริ่มพบกับปัญหาในปี 2020 เมื่อนักแข่งหมายเลข 1 ของพวกเขาอย่าง Marc Marquez ประสบอุบัติเหตุที่ Spanish Grand Prix สนามเปิดฤดูกาล จนต้องพักยาว และ Michelin ก็ได้ออกแบบยางหลังใหม่ที่เป็นตัวพลิกเกม ซึ่งมันได้ซ้ำเติมพัฒนาการของตัวแข่ง RC213V
ยางหลังของ Michelin นั้นมีการยึดเกาะที่ดีกว่ายางหน้า นั่นทำให้เกิดความไม่สมดุลต่อตัวรถ ซึ่งตัวรถจะต้องถูกปรับสมดุลการยึดเกาะใหม่ระหว่างด้านหน้าและหลัง โดยเฉพาะตัวแข่ง Honda ที่เด่นในเรื่องการยึดเกาะส่วนหน้านั้นได้รับผลกระทบอย่างหนัก
นั่นจึงเป็นเหตุให้ Honda ตัดสินใจรื้อแนวทางการออกแบบตัวรถใหม่ในปี 2022 โดยพวกเขาเน้นไปที่การยึดเกาะส่วนหลังมากขึ้น และนั่นทำให้ Pol Espargaro ขึ้นโพเดียมได้ตั้งแต่สนามแรกที่กาตาร์
อย่างไรก็ตาม กว่าโพเดียมครั้งที่ 2 ของฤดูกาลจะมา พวกเขาต้องรอจนถึงสนามท้าย ๆ ที่ Phillip Island ซึ่ง Marquez จบการแข่งขันในอันดับ 2 นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันต้องมีเหตุที่ไม่ปกติที่ทำให้พวกเขาต้องรอนานถึงขนาดนั้น
“ผมจับอาการรถส่วนหน้าไม่ได้ ตัวรถไม่ยอมเลี้ยว มันไม่เกาะแทร็ค แล้วยังไม่มีอัตราเร่งอีก” คือบทสรุปของ Marquez ในการอธิบายการขี่ RC213V
“จริง ๆ แล้วตัวรถนั้นดีกว่าตัวแข่งปี 2021 นะ ปัญหาก็คือ ค่ายอื่น ๆ นั้นพัฒนาไปไกลกว่าเรา”
Stefan Bradl นักบิดทดสอบของ Honda เองก็มีปัญหากับการควบคุมรถภายใต้ระหว่างขาของเขา “ในตอนนี้ คุณต้องการความสมดุลอย่างถึงที่สุดระหว่างส่วนหน้าและท้ายรถ และนี่คือสิ่งที่มันหายไป”
“เรามีจุดแข็งบางจุดอย่าง การเบรกในแนวเส้นตรง แต่ตัวรถก็ยังคงไม่มีบาลานซ์ ด้านหน้านั้นเลี้ยวแต่ด้านหลังนั้นไม่ยอมเลี้ยวตาม รถทั้งคันไม่ยอมประสานการทำงานด้วยกัน”
“บางครั้งตัวรถมีการยึดเกาะส่วนท้ายมากเกินไป บางครั้งมันก็ไม่เพียงพอ ดังนั้น มีบางสิ่งที่หายไประหว่างยางหน้าและยางหลังที่จะทำให้เราขี่ได้อย่างราบรื่น”
“ในตอนนี้ เราต้องสู้ฟาดฟันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ทั้งการเบรก การเลี้ยว และอื่น ๆ ซึ่งมันทำให้การขับขี่นั้นเป็นไปได้ยากและไม่สม่ำเสมอ มันจึงง่ายที่จะสร้างความผิดพลาด” Bradl ให้สัมภาษณ์ซึ่งตอบโจทย์เป็นอย่างดีว่า ทำไม Marquez และนักบิด Honda คนอื่น ๆ ถึงล้มกันระเนระนาดขนาดนั้น
เมื่อ Marquez กลับมาลงแทร็คอีกครั้งหลังการผ่าตัดครั้งที่ 4 Honda ได้พยายามแก้ไขปัญหา ทั้งปรับเปลี่ยนแชสซีส์ใหม่ นำชิ้นส่วนทางอากาศพลศาสตร์ใหม่ และชิ้นส่วนอื่น ๆ มาใส่ในรถ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยอะไรมากนัก
“คาแรคเตอร์ของตัวรถนั้นเปลี่ยนไปมาก สำหรับสไตล์การบิดของผม มันไม่ดีต่อผมนัก แต่ประสิทธิภาพโดยรวม รถปี 2022 นั้นดีกว่า สำหรับผม ผมรู้สึกไม่ถนัดเท่าไร แต่ก็ยังทำเวลาได้อยู่” แชมป์โลก MotoGP 8 สมัย กล่าว
“เรากำลังพยายามทำความเข้าใจกับวิธีที่ทำให้รถเลี้ยวง่ายขึ้น เมื่อคุณปรับปรุงในจุดหนึ่ง คุณย่อมที่จะเสียในอีกจุดหนึ่ง เราพยายามทำความเข้าใจกับยางหน้าให้เลี้ยวได้ในเวลาที่สั้นลง”
“ใน MotoGP ถ้าคุณใช้เวลาในการเลี้ยวเยอะ คุณก็จะไม่สามารถใช้แรงบิดได้ จากนั้น คุณก็จะสูญเสีย 0.1 วินาที ในการออกโค้ง”
“ผมรู้สึกว่าตัวรถนั้นหนักอึ้ง รถมันไม่ยอมเลี้ยว ในสนามที่มีการเปลี่ยนทิศทางหรือต้องหยุดรถน้อยอย่าง Phillip Island และ Losail คุณก็ยังหาทางจัดการได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องหยุดรถโดยที่เอียงรถเล็กน้อย นั่นคือจุดที่เรามีปัญหา”
“และเมื่อใดที่การยึดเกาะของรถต่ำ ตัวรถจะทำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งนี่เคยเป็นจุดแข็งของเรานะ เราต้องการรถที่มีความคงที่ เหมือน Ducati ที่เมื่อก่อนพวกเขาแข็งแกร่งในบางแทร็ค และมีปัญหากับบางแทร็ค แต่ในตอนนี้พวกเขาเร็วในทุก ๆ แทร็ค ซึ่ง Honda เองก็กำลังปรับปรุงในจุดนี้”
สำหรับผู้ที่รับหน้าที่ในการพา Honda กลับคืนสู่วิถีแห่งชัยชนะนั้นคือ Takeo Yokoyama ผู้จัดการฝ่ายเทคนิคของ HRC ซึ่งเจ้าตัวก็พยายามวางแผนไว้หลายอย่างเลยทีเดียว โดยเขากล่าวว่า ในปี 2023 นั้นจะเป็นการเก็บข้อมูลของปี 2022 มาปรับแต่งในเชิงรายละเอียด
“จากปี 2022 ไปสู่ 2023 เราจะไม่ปรับเปลี่ยนตัวรถมากเท่ากับที่เราทำในระหว่างปี 2021 มา 2022 จากนี้ไป มันจะเป็นการเก็บรายละเอียดในการปรับแต่งรถเสียมากกว่า” Yokoyama กล่าว
“ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2022 การทดสอบรถนั้นเป็นไปได้ด้วยดี มันทำให้เรามีความมั่นใจ แต่หลังจากนั้น ปัญหาก็เริ่มต้นขึ้น”
“การทดสอบนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่ง แต่การปรับแต่งขั้นสุดท้ายเพื่อลงแข่งขันนั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง และเราสูญเสียวิถีทางของเราในช่วงของการปรับแต่งขั้นสุดท้าย”
“ในแต่ละโค้งนั้นจะประกอบไปด้วย 4 ส่วน การเบรก การเข้าโค้ง กลางโค้ง และออกจากโค้ง การเบรกนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่ง แต่ระหว่างอยู่ในโค้งนั้นเป็นอะไรที่สำคัญที่สุด”
“หลาย ๆ ครั้ง นักบิดของเราบ่นว่าไม่มีการยึดเกาะในช่วงออกจากโค้ง ดังนั้นมันจึงไม่เกิดอัตราเร่ง ซึ่งเรามารู้สึกตัวในภายหลังว่าปัญหานั้นอยู่ที่การเข้าโค้ง”
“ถ้าคุณเข้าโค้งได้ดี คุณก็จะยกรถ เลือกไลน์ และเปิดคันเร่งออกจากโค้งได้ จนถึงฤดูกาลที่แล้ว รถของเราไม่มีการยึดเกาะส่วนหลัง ซึ่งนี่ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด”
“ดังนั้น ปัญหาหลัก ๆ ก็คือการออกจากโค้ง เราพบวิธีที่ทำให้การออกจากโค้งทำได้ดีขึ้นจากการยึดเกาะ แต่การได้มาซึ่งการยึดเกาะในการออกจากโค้งทำให้เราต้องเสียสละความสามารถในการเข้าโค้งไป”
อ้างอิง : motorsportmagazine.com