นอกจากเปิดตัว Nissan Patrol ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แล้ว อเมริกาก็มีการเปิดตัวพร้อมกันและยังแนะนำรุ่นลุยอย่าง Nissan Patrol PRO4-X ออกขาย
Nissan Patrol หรือ Nissan Armada รุ่น PRO4-X เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 14 ปีต่อจากรหัส Y62 เจนที่ 6 และรุ่นลุยนี้สงวนตลาดเฉพาะสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ภายนอก Exterior
เข้มด้วยกระจังหน้ารูปตัววี หรือ V-motion ไส้ในเป็นรังผึ้งขนาดใหญ่ ส่วนบนของกระจังหน้ามีช่องระบายอากาศขนาดเล็ก 3 ช่อง พร้อมตรา Nissan เวอร์ชันใหม่สีส้มแดง Lava Red สอดรับกับชุดกันหน้าออกแบบใหม่สไตล์ลุยพร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED ขนาดเล็ก พร้อมความทันสมัยไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED รูปตัว E-clamp ในโคมมีไฟหน้า LED พร้อมไฟเลี้ยว รับกับชุดกันชนหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED โดยรวมออกแบบรถเอสยูวีแดนมะกันพร้อมแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ
ด้านข้างพร้อมช่องระบายอากาศด้านข้างเด่นด้วยดีไซน์ช่องระบายอากาศด้านข้างตัวถัง Side Vent สองฝั่ง คิ้วขอบล้อสีดีไซน์กลมกลืน ที่เปิดประตูดีไซน์ดึงก้าน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED และไฟส่องพื้นใต้กระจกมองข้างกระจกสไตล์โอเปร่าโดยกระจกเสา C และ D ติดตราชื่อรุ่น ARMADA บันไดข้าง ราวหลังคาดีไซน์เรียบเนียนกับหลังคารถสีดำ เสาอากาศครีบฉลาม
ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟท้าย LED แนวยาวรูปตัว U ครอบด้านท้ายอย่างสวยงามชวนให้นึกถึง Nissan Kicks เจนใหม่ที่พึ่งเปิดขายที่สหรัฐอเมริกานั่นเองทางด้านตัวรถรับกับกันชนหลังดีไซน์เข้มพร้อมลิ้นสปอยเลอร์หลังในตัว ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 20 นิ้ว 275/60R20 แบบ all-terrain และคิ้วขอบล้อสีดำลวดลายเด่นเข้ากับตัวรถ
แน่นอนว่ามาจากพื้นฐาน INFINITI QX80 เป็นรถทรงกล่องแชสซีส์ขั้นบันไดหรือ Ladder-Frame เฟรมปรับปรุงใหม่ให้มีความแข็งแรงตามแรงบิดเพิ่มขึ้น 25% และความแข็งแรงด้านข้างเพิ่มขึ้น 57% โดยมีมิติตัวรถดังนี้
- ความยาว 5,350 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 2,030 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้าวง 2,350 มิลลิเมตร)
- ความสูง 1,945-1,955 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 3,075 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 244 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,680-2,813 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 97 ลิตร
ภายใน Interior
ภายในใหม่แบบ 3 แถว 8 ที่นั่ง 2+3+3 หุ้มหนังลายด้วยวัสดุหนังแท้เกรดคุณภาพปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางคู่หน้าพร้อมฟังก์ชันนวดโดยเบาะคู่หน้ามาแบบ Zero Gravity เพื่อรองรับกับแนวกระดูกสันหลัง ตามหลักสรีรศาสตร์ เบาะนัั่งตอนที่ 2 พับอิสระแบบ 40/20/40 แบบ EZ Flex และ 50/50 ในตอนที่ 3 และยังปรับพื้นที่เก็บของด้านท้ายมากขึ้นกว่าเดิม 30% โดยหุ้มเป็นหนังลายสีดำเดินด้ายส้มแดง ปักชื่อ PRO4-X ที่หัวหมอนศรีษะคู่หน้า
หนังสัมผัสบริเวณคอนโซลกลางกับแผงประตู ดีไซน์คอนโซลหน้าต่างจาก INFINITI QX80 ปรับเพื่อให้เป็นรถลุยและหรูในคันเดียวทั้งแผงคอนโซลหน้าติดตั้งหนังสัมผัสอย่างประณีตจอคู่รวม 28.6 นิ้วประกอบด้วยจอมาตรวัดความเร็วและจอสัมผัสขนาดใหญ่ฝั่งละ 14.3 นิ้ว ในส่วนระบบ NissanConnect 2.0 เวอร์ชันใหม่ ติดตั้ง Google ในตัว สามารถใช้ Google Maps, Google Play, Google Assistant เชื่อมต่อ Apple CarPlay Android Auto ไร้สาย และบริการเชื่อมต่อผ่านแอป My NISSAN พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มหนังดำเดินด้ายส้มแดงพร้อมตรา และจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า HUD
ถัดลงมาช่องแอร์แนวนอนมีปุ่ม Push Start และปุ่มการทำงานของระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์ตอนที่ 2 กับ 3 และมีสวิตช์ควบคุมทำงานร่วมกับเซนเซอร์อินฟาเรดไว้ตรวจจับอุณหภูมิภายในปรับได้อย่างอิสระและการไหลเวียนของอากาศเพื่อให้อากาศภายในสบายสดชื่น พร้อมช่องเสียบ USB Type C ให้มาทั้ง 3 แถว ที่ชาร์จมือถือไร้สาย
พร้อมลำโพงทั้งหมด 12 จุด จาก Klipsch พร้อมเทคโนโลยี DynamicAudioReveal™ ช่วยให้เสียงมีความนุ่มชัดเจนละเอียดปรับตามสภาพแวดล้อมภายในรถและระบบเสียง 3 มิติ DJX® 3D Surround ทำให้เพลิดเพลินในการฟังเพลงตลอดการเดินทาง พร้อมไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 64 สี พร้อมกล้องบันทึกเหตุการณ์และหลังคารถพาโนรามิกซันรูฟ
สมรรถนะ Performance
แน่นอนว่ายกมาจาก INFINITI QX80 ด้วยขุมพลังเป็นเบนซินเทอร์โบคู่ V6 รหัส VR35DDTT ขนาด 3.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 431 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาที
มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time พร้อม 4WD transfer mode interlock สามารถกระจายการทำงานไปยังล้อทั้ง 4 ควบคุมอย่างง่ายดายตามสภาพเส้นทางภูมิประเทศต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสลับโหมดต่างๆได้อย่างราบรื่นและรับมือกับเส้นทางท้าทายได้อย่างง่ายดาย พิเศษสำหรับรุ่นนี้มาพร้อมโหมดการขับขี่มากถึง 8 โหมด เพิ่มมา 2 โหมดทั้งโหมดโหมด Tow กับ Snow จากเดิมมีทั้งโหมด Standard, Eco, Sport, Sand, Rock และ Mud/Rut ลุยน้ำได้สูงสุด 700 มิลลิเมตร สามารถลากจูงสูงสุด 3,500 กิโลกรัม
ลุยทุกเส้นทางกับช่วงล่างพื้นด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น และช่วงล่างหลังเแบบถุงลม Adaptive Air Suspension System ปรับตัวรถสูง-ต่ำได้ถึง 51-53 มิลลิเมตร ใช้โช้กอัพไฟฟ้า 4 ต้น พร้อมเฟืองท้าย Rear Helical Limited Slip Differential และล็อกเฟืองท้าย REAR DIFFERENTIAL LOCK พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด จาก JATCO สามารถลุยได้ทุกรูปแบบทั้งมุมปะทะหรือ Approach angle อยู่ที่ 33 องศา มุมจากหรือ Departure angle 24.5 องศา และมุมคร่อมหรือ Breakover angle 25.5 องศา
ความปลอดภัย Safety
มาพร้อมระบบระบบขับขี่อัตโนมัติอัจฉริยะ ProPILOT 2.0 ช่วยลดความจุกจิกกวนใจในเรื่องการขับขี่บนทางหลวงที่ต้องมีการหยุดและชะลอตัวตลอดเวลา พร้อมความปลออดภัยหลากหลายทั้ง
- เตือนก่อนการชนด้านหน้า Predictive Forward Collision Warning
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติอัจฉริยะด้านหน้า Intelligent Emergency Braking with Pedestrian detection
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติอัจฉริยะ Rear Intelligent Emergency Braking
- เตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning
- เตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert
- เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา เมื่อสัญญาณไฟเลี้ยวถูกเปิด และมีรถคันอื่นอยู่ในจุดอับสายตา ณ ช่องทางขับขี่ด้านข้าง Blind Spot Intervention
- เตือนออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ Lane Departure Prevention
- เตือนจุดอับสายตาขณะลากจูง Trailer Blind Spot Warning
- เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะพร้อมช่วยมองเห็นด้านหลังได้ชัดเจนขึ้น Intelligent Rear View Mirror with Rear Zoom View
- ล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติ adaptive cruise control
- ไฟสูงแบบปรับระดับได้เอง Adaptive Driving Beam (ADB)
- กล้องมองภาพรอบคัน 3D Around View Monitor โดยเฉพาะกล้องด้านหน้ามองเห็นมุมกว้างมากถึง 170 องศา
Nissan Patrol PRO4-X หรือ Nissan Armada PRO4-X สิงห์ทะเลทรายเจนใหม่เวอร์ชันลุยครองใจขาลุยมาถึง 73 ปี ขายอเมริกาช่วงปลายปีนี้ ทางด้านตะวันออกกลางขายตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน ทางด้านกลุ่มประเทศโอชิเนียอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ขายช่วงครึ่งปีหลังปี 2026 ส่งมอบปี 2027 ในฐานะพวงมาลัยขวาที่แรกของโลก