เปิดตัวขายในไทยตั้งแต่ปีกลายสำหรับ RIDDARA RD6 กระบะไฟฟ้าที่กำลังได้รับการตอบรับอย่างดีสำหรับที่จีนเพิ่มทางเลือกใหม่กับ RIDDARA RD6 PHEV
RIDDARA RD6 PHEV หรือ RADAR Super Hybrid ในร่างกระบะ 4 ประตู ที่หน้าตาไม่ต่างจากเวอร์ชันอีวีล้วน
เพียงเพิ่มช่องเติมน้ำมันในฝั่งซ้ายและกระจังหน้าติดตราโลโก้ RADAR (RIDDARA) มีไฟแบบ LED นอกนั้นคงเดิมท้ังไฟหน้า LED และไฟ DRL แบบ LED ในโคมเดียว กันชนหน้าแบบมีช่องระบายอากาศใหญ่ถึงสามช่องกับฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่
ด้านข้างมาอย่างหล่อด้วยคิ้วขอบล้อขนาดใหญ่แบบขึ้นรูปในชุดบังโคลนหน้าเรียบเนียบดุดัน พร้อมการดีไซน์ประตูข้างคล้ายๆกับรถเอสยูวีของค่ายในเครือ GEELY ติตตั้งราวหลังคากับบันไดข้างขึ้นรูปและกระจกมองข้างทรงสปูนพร้อมไฟเลี้ยวปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า
กระบะท้ายที่ออกแบบมาเรียบเนียนไร้รอยต่อกลายเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่งของกระบะสไตล์เก๋งพร้อมไฟท้าย LED แนวยาวพาดท้ายภายในกระบะมีช่องเสียบปลั๊กแบบ 10A 2 พอร์ต 16A 2 พอร์ต และ Power Outlet 12V 120W 2 พอร์ต และรองรับฟังก์ชัน V2L ที่มีกำลังไฟ 2,000W โดยวัสดุของกระบะท้ายทำมาจากวัสดคอมโพสิตที่มีความแข็งแรงสูงจาก STC (super toughness concrete) และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 235/60R18
คันนี้สร้างจากพื้นฐาน Sustainable Experience Architecture (SEA) ใหญ่โตตามตัวรถโดยมีพื้นที่กระบะยาว 1,525 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,450 มิลลิเมตร ความสูง 540 มิลลิเมตร น้ำหนักบรรทุกภายในกระบะ 1,030 กิโลกรัม
ภายในมาพร้อมคอนโซลหน้าตกแต่งหุ้มหนังสัมผัสระบบมาตรวัดความเร็วดิจิทัล Full LCD ขนาด 10.2 นิ้วจอสัมผัส Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับการสื่อสารแบบสั่งงานด้วยเสียงทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านระบบ Carbit link พร้อมลำโพง 8 จุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านทรงท้ายตัดหุ้มหนังจับกระชับมือพร้อมไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 72 สี
มีที่ชาร์จมือถือไร้สายกำลังชาร์จ 50 W พร้อมระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบ Dual Zone มีช่องแอร์ด้านหลังและสตาร์ทรถล่วงหน้าผ่านทางสมาร์ทโฟนและความสบายแบบ 5 ที่นั่งเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ปรับด้วยไฟฟ้าคู่หน้าปรับได้ 6 ทิศทางและเบาะหลังพับได้แบบ 60/40 เพิ่มการบรรทุกของมากขึ้นมีช่องเก็บของใต้เบาะหลังขนาด 48 ลิตร
ขุมพลังเป็นแบบปลั๊กอินไฮบริดแบบ Thor EM Hybrid ด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตรพ่วงการทำงานทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติพัฒนาและออกแบบมาสำหรับการใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์แบบไฮบริด 3 สปีด 3DHT (Dedicated Hybrid Transmission)
ออกแบบมาเพื่อให้สมรรถนะที่ดีและประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ขุมพลังนี้ผ่านการทดสอบความทรหดในห้องแล็ปกว่า 1,000 ครั้ง ในเวลา 400,000 ชั่วโมง และทดสอบความทนทานบนท้องถนน 40,000,000 กิโลเมตร
โดยยังไม่มีข้อมูลเรื่องแรงม้ารวมแรงบิด แรงม้า แรงบิดสำหรับเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้าเบื่องต้นแจ้งมาว่าวิ่งไกลสุดทั้งระบบเกิน 1,000 กิโลเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ที่ 6.5 วินาที ประหยัดน้ำมันมากขึ้น 21% เมื่อเทียบกับกระบะเครื่องสันดาปมาพร้อมระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพความร้อนระดับ 44.26%
ชาร์จได้ทั้งกระแสตรง DC และชาร์จกระแสสลับ AC ระบบกู้คืนนพลังงาน 3 ระดับ (Regenerative Braking) พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อประกอบด้วยด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท MacPherson Strut ด้านหหลังแบบอิสระมัลติลิงก์ Multi-link และความปลอดภัยอัจฉริยะครบครัน
นำเสนอแพลตฟอร์มเทคโนโลยี 2 แพลตฟอร์มสามารถใช้งานกลางแจ้งและออฟโรดได้แก่ “Omni Stack” ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle-to-Load) สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้ และ “Shuttle” เชื่อมต่อโดรนและระบบคลาวด์ เพื่อขยายการใช้งานที่ไม่ใช่แค่การบรรทุกและขนส่ง
โดยโชว์ตัวที่งาน Shanghai Auto Show 2025 และเตรียมขายจีนเร็วๆนี้ ทางด้านเมืองไทยจับตาแล้วว่าจะมีโอกาสเข้ามาขายหรือไม่ต้องติดตาม
ที่มา CarNewsChina
