More

    [Video Review] จุดเด่น/จุดด้อย Nissan GT-R 50th Anniversary “หล่อ แรง โหด”

    ต้องบอกเลยว่าพิเศษสุดจริง ๆ ครับ สำหรับคลิปนี้ ที่ได้สัมผัสกับ Nissan GT-R R35 รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 50 ปี ซึ่งทีมเรามีโอกาสได้นำมาทดลองขับและอยู่ด้วยกัน 2 วัน 1 คืนเต็ม ๆ ทางทีมงาน Car2day ต้องขอขอบพระคุณผู้สนับสนุนหลัก  “นิสสัน กรุงไทย” เป็นอย่างสูงที่ทำให้เกิดคลิปวีดีโอนี้ขึ้นมา

     

    การได้สัมผัสเจ้าก็อตซิล่าตัวจริง ตัวเป็น ๆ ครั้งนี้ทำให้รู้ถึงสเน่ห์ที่ทำให้ผู้คนที่ชื่นชอบความเร็วและหลงไหลมันอย่างหัวปักหัวปำ ซึ่งสมรรถนะจะเป็นยังไง และคันนี้แตกต่างจากรุ่นปกติตรงไหน มีจุดเด่น/จุดด้อยอะไรซ่อนอยู่บ้าง มาดูกันเลย

    จุดเด่น

    ดีไซน์ภายนอก(Design&Exterior)
    – สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างแรกที่ปฎิเสธไม่ได้นั่นคือรูปร่างหน้าตาและงานดีไซน์อันทรงสเน่ห์ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ จะถูกขายลากยาวมานานแค่ไหน ความหล่อก็ยังคงติดตาตรึงใจขาซิ่ง ซึ่งถ่ายทอด DNA ความเท่ได้อย่างมีเอกลักษณ์ จากรุ่นสู่รุ่น โดยคันที่เราได้นำมาทดสอบครั้งนี้ จะใช้พื้นฐานจากโมเดล 2018 มาตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อเฉลิมฉลอง 50 ปี ซึ่งเริ่มออกขายในไทยเมื่อเกือบสามปีที่แล้ว ในราคา 11,300,000 บาท

    – โดยในรุ่นครบรอบ 50 ปี คันนี้จะมีความโดดเด่นและต่างจากรุ่นปกติ ตั้งแต่สีสันพิเศษแบบทูโทน ด้วยตัวถังสีฟ้า bayside blue คาดด้วยลายทางสีขาว ที่ได้แรงบันดาลใจจากการแข่งรถ Japan GP series รับกับสีฟ้าบนก้านล้อขนาด 20 นิ้ว ช่วยเพิ่มความสปอร์ตพรีเมี่ยม พร้อมสัญลักษณ์ครบรอบ 50 ปี ที่ท้ายรถ เท่สนั่นไม่พอยังเพิ่มความพิเศษด้วยการตกแต่งสติ๊กเกอร์คำว่า “50th Anniversary” ขนาดใหญ่ตรงกลางบนกรอบป้ายทะเบียน บ่งบอกว่านี่คือรุ่นลิมิเต็ด

    – นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นกรอบไฟตัดหมอก LED สีเงิน และพวกสปอยเลอร์กับชุดดิฟฟิวเซอร์ ที่เปลี่ยนจากสีเงินมาเป็นสีดำเงา พร้อมปลายท่อไอเสียไทเทเนียมคู่ ปิดท้ายด้วยการเปลี่ยนแม็กเดิมลายห้าก้านคู่ มาเป็นแบบสิบห้าก้านไซส์ 20 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต ขนาด 255/40ZRF20 ที่คู่หน้า และล้อคู่หลังขนาด 285/35ZRF20

    – บวกกับความเท่บนพื้นฐานเดิม อย่างกระจังหน้าในสไตล์ V-Motion ไฟหน้าแบบ LED พร้อม AFS ไฟท้ายโดนัทแบบ Multi-LED สปอยเลอร์ทรงใหญ่พร้อมไฟเบรก LED ในตัว รวมถึงที่เปิดประตูรถอะลูมิเนียมซึ่งดีไซน์เรียบเนียนกับตัวถังพร้อมปุ่มดำปลดล็อก ที่ยังคงเอกลักษณ์และความทรงสเน่ห์เอาไว้ได้อย่างลงตัว

    ดีไซน์ภายในและสิ่งอำนวยความสะดวก (Interior&Convenience)
    – ส่วนภายในห้องโดยสารยังคงไว้ซึ่งอารมณ์สปอร์ต แต่เพิ่มความสะดวกสบายด้วยเบาะที่นั่งคู่หน้าแบบ Bucket Seat หุ้มหนังแท้ Nappa แบบหนานุ่มนั่งสบายแบบปรับไฟฟ้าเลื่อน/เข้าออก แต่ปรับเอนด้วยมือเน้นความดิบ เช่นเดียวกับสวิตซ์เปิด/ปิดระบบและปรับโหมดต่างๆที่คอนโซลกลางที่ดูดิบและใช้งานง่ายเน้นใช้งานง่าย รวมไปถึงพวงมาลัย 3 ก้านที่ดูแรงด้วยโลโก้ GT-R ซึ่งจับกระชับมือพร้อมปุ่มมัลติฟังชั่นที่รวมไว้บนก้านพวงมาลัยใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน

    – หน้าจอกลางมีจอแสดงกราฟซิ่งต่าง ๆ ได้ครบสไตล์รถสนามทั้งแสดงค่า Boost , เปอร์เซ็นต์การเหยียบคันเร่งและเบรก, กราฟแรง G และเกจ์วัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องแบบครบๆ ที่สำคัญยังมากับชุดเครื่องเสียงไฮเอนด์พร้อมลำโพง Bose ถึง 11 ตัว ช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ในการขับขี่ที่เร้าอารมณ์ได้อย่างลงตัว

    – นอกจากนี้ก็จะมีพวกโลโก้ 50 ปี ตามจุดต่าง ๆ ที่เป็นตัวตอกย้ำให้รู้ว่าคันนี้รุ่นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข 50th ตัวเล็ก ๆ ที่มาตรวัดรอบโลโก้ 50 ปี Anniversary บนคอนโซลเกียร์ลายคาร์บอน ไปจนถึงแผ่นสแตนเลสตรงกาบบันไดที่ประทับตรา 50 ปี พร้อมโลโก้ GT-R สุดคือที่เบาะมีการปักสัญลักษณ์ฉลอง 50 ปีแบบจางสีเดียวกับเบาะเอาไว้ ถึงแม้จะดูไม่มาก แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าทางจิตใจ และจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับมันได้ในอนาคต

    Engine&Transmission
    – ในด้านของสมรรถนะอันเลื่องชื่อของเจ้าก็อตซิล่าคันนี้นั้นได้จากขุมพลังที่ทีมช่างฝีมือ TAKUMI จากเมืองโยโกฮาม่า บรรจงสร้างด้วยแฮนด์เมดให้ออกมาแรงสุดและโหดสุดๆ กับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ V6 24 วาล์ว รหัส VR38DETT 3.8 ลิตร ที่แรงสุดๆถึง 555 แรงม้าที่ พร้อมแรงบิดที่มากถึง 632 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ GR6 6 สปีด ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเวลาชั่วพริบตา เพียง 0.15 วินาที พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ All Wheel Drive โดยเจ้าสก็อตจิมีโหมดให้เลือก 3 โหมด คือ Normal, Save และโหมด R

    – จากที่ได้ลองขับช่วงแรกๆแบบปกติในโหมด Normal ความแรงที่สั่งได้มีให้เห็นตั้งแต่กดคันเร่งรู้สึกถึงแรงดึงจนหลังติดเบาะ แต่ไม่ถึงกับหนักมาก ซึ่งแค่กดปุ่ม R เท่านั้น บอกเลยโหมดนี้กระชากวิญญาณสุดๆ แค่กดคันเร่งเบามารอบฟาดตึงพร้อมทะยานแบบไม่คิดชีวิต ดึงหนักทุกเกียร์ อารมณ์เหมือนเครื่องบินกำลังจะ take off มิหนำซ้ำยังลากได้เหมือนไม่มีสิ้นสุด เติมมา เติมมา ตลอดทุกย่านความเร็ว ที่สำคัญเกียร์แบบคลัตซ์คู่ 6 สปีด ก็เปลี่ยนได้เรียบเนียนและเร็วชั่วพริบตา ถ้าอยากได้ฟิวส์แนะนำให้เปลี่ยนเกียร์เองที่ก้าน Paddle Shift ยิ่งได้อรรถรสเข้าไปอีก เผลอกดไปไม่กี่วินาที ตัวเลข 200 กม./ชม. ก็ขึ้นให้เห็นอยู่ตรงนี้ และที่มันส์สุดๆคือจังหวะที่เชนเกียร์และ backfire ออกท่อนี่แหละสร้างความเร้าใจได้สุดๆ

    – แต่ถ้ามาเป็นโหมด Normal เน้นขับสบายเสียเป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีบางอารมณ์ที่อยากซิ่ง ก็สามารถทะยานไปได้ระดับหนึ่งซึ่งสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 3.37 วินาที และสปีดเร่งแซงต่อเนื่องจาก 80-120 กม./ชม. ทำได้ 2.78 วินาที ส่วนโหมด SAVE สำหรับขับขี่พื้นถนนที่มีความลื่นและชุดเพลาส่งกำลังมายังล้อหลังแบบอิสระ

    – ซึ่งความแรงที่ว่านี้ บอกเลยว่าคันนี้เติมแก็สโซฮอล์ 95 ได้ ซึ่งรถ GT-R ทุกคันที่ขายทาง Nissan High Performance Center นั้นถูกออกแบบมาเพื่อรับกับน้ำมันของไทยได้เต็มประสิทธิภาพ

    การขับขี่ (Handlind&Ride)
    – ส่วนแฮนด์ลิ่งในการขับรถขับเจ้าก็อตจิซึ่งมีพื้นฐานช่วงล่างเป็นแบบอิสระ 4 ล้อ ให้การขับขี่ทั่วไปที่เหนียวหนึบเกาะถนนอย่างมั่นใจ และขับขี่ได้ราบรื่นยิ่งขึ้นด้วยขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบบ Full Time ถ่ายทอดกำลังมายังสี่ล้อ เน้นการเข้าโค้งอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะสาดโค้งไหนก็ไม่หลุดอย่างแน่นอน ผนวกกับการใช้โช๊คอัพจาก Bilstein ที่สามารถปรับได้ 3 โหมดคือ Normal, Comfort และ R ช่วยให้คุณเลือกฟิวส์การขับได้ด้วยตัวเองอีกด้วย

    – ทางด้านพวงมาลัยถ้าขับในโหมด Normal ก็จะหนักนิดๆแต่ก็สามารถควบคุมง่าย แต่ถ้าเข้าโหมด R เมื่อไหร่น้ำหนักก็จะหนักขึ้น

    ความปลอดภัย (Safety&Feature)
    – ในด้านความปลอดภัยเน้นที่ระบบควบคุมเสถียรภาพ และระบบเบรกเป็นพิเศษ ด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ แบบโมโนบล็อกด้านหน้าคาลิปเปอร์ 6 Pot และ 4 Pot สำหรับด้านหลัง จับคู่กับจานเบรกแบบลอยตัวสองชิ้น เจาะรูเซาะร่องหน้าขนาด 390 มม. และหลัง 380 มม. จาก Brembo พร้อมหม้อลมเบรกใหม่ ช่วยเพิ่มความสามารถในการหยุดรถ ไม่ต้องกดเยอะเหยียบเบรกแค่ 20-30 % ก็เอาอยู่แล้ว ซึ่งช่วยให้สยบม้ากว่า 500 ตัวได้อย่างอยู่หมัดและเชื่องเท้ามากๆ

    จุดด้อย

    ดีไซน์ภายนอก (Design&Exterior)
    – สำหรับดีไซน์ภายนอก ซึ่งจริงๆก็แทบไม่มีอะไรต้องติ แต่สิ่งที่ดูขัดตาน่าจะเป็นสติกเกอร์ 50th Anniversary ไซส์บิ๊กสีขาวที่บั้นท้ายซึ่งมันดูใหญ่เกิน แถมดูบ้านๆเหมือนตัดจากร้านสติกเกอร์หน้าปากซอย ซึ่งดูไม่พิเศษเอาซะเลย และทำให้ดูรกไปนิด จริงๆมีแค่โลโก้เล็กๆอย่างเดียวน่าจะดูดีกว่า

    ดีไซน์ภายใน (Interior&Convenince)
    – ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น ดูไม่ดุดันตั้งแต่โทนสีเทาฟ้าซึ่งให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมมากกว่าสปอร์ต ดูไม่ค่อยเข้ากับคาแร็กเตอร์ของก็อตซิล่า โดยเฉพาะเบาะนั่งหนานุ่มดูคล้ายเก้าอี้ของเหล่า Gamer ซึ่งทำให้ขาดความดิบดุดันตามที่คาดหวังไว้

    – ส่วนที่นั่งด้านหลังก็ลุกนั่งเข้า/ออกยากไปนิดสไตล์รถสปอร์ตบวกกับความลาดลงของหลังคารถอาจทำให้นั่งแล้วหัวติด รวมถึงสวิตช์ต่างๆที่ยกงานดีไซน์สวิตช์มาจากรถ Nissan ระดับตลาด ซึ่งก็ดูแล้วไม่ค่อยดูดีเสียเท่าไหร่ อีกอย่างคือกุญแจรีโมทดีไซน์สหกรณ์ที่แค่เปลี่ยนโลโก้จาก Nissan มาเป็น GT-R นอกนั้นเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆในค่าย ซึ่งบอกเลยว่าดูเชยไปนิดนึง

    – เช่นเดียวกับหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ดูเชยไปนิด ที่สำคัญไม่สามารถรองรับ Apple Car Play กับ Android Auto แถมมีแค่กล้องมองหลังกับเซ็นเซอร์ถอยเท่านั้น ซึ่งรถสปอร์ตที่สูงจากพื้นไม่มากแบบนี้ถ้ามีกล้องรอบคันมาให้น่าจะดี กันพลาดไปกระแทกอะไรเข้านี่น้ำตาไหลแน่นอน

    เครื่องยนต์ (Engine&Transmission)
    – สำหรับสมรรถนะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่แทบจะไม่มีข้อด้อยให้ได้เห็นมากนักโดยเฉพาะเรื่องความแรง จะมีก็แต่ในโหมด Normal ที่เวลาขับอาจดูอั้นๆไปนิด ดูเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนอสูรที่รอปลดปล่อยแค่คุณเปลี่ยนโหมดรับรองโลกเปลี่ยน

    – ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลืองบอกได้คำเดียวว่า คุณต้องมีเงินเติมน้ำมันแบบไร้กังวล เพราะคันนี้ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 4 กม./ลิตร แรงขนาดนี้ถ้าประหยัดก็คงแปลก ถือว่ากินใช้ได้ แต่เพื่อแลกกับความมันส์แค่นี้ไม่น่ามีปัญหา

    การขับขี่ (Handling&Ride)
    – ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยขับรถซิ่งอาจไม่ชอบช่วงล่างแบบนี้ ที่ให้ฟิวส์กระแทกกระทั้น ออกแนวกระด้างเพราะยางแก้มเตี้ย 35 มม.และ 40 มม.

    – ส่วนฟิลลิ่งในการขับมีบางจังหวะที่รู้สึกท้ายไหลอยู่บ้างเวลาเข้าโค้งที่ความเร็วสูงๆ เวลาเร่งมีจังหวะลอยๆให้รู้สึกนิดหน่อย คนขับจะต้องตื่นตัวตลอดเวลาขับเพื่อรับมือกับความเกรี้ยวกราดที่เกิดขึ้นตอนบดขยี้คันเร่งอย่างเมามันส์

    ระบบความปลอดภัย (Safety&Feature)
    – ระบบความปลอดภัยให้มาไม่เยอะ มีแค่ระบบพื้นฐานไม่ได้หรูหรา หรือมีตัวช่วยมหัศจรรย์เหมือนรถในยุคนี้เค้า มีแค่ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุด กับควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ต่างๆ VDC, ABS ,EBD และ BA พร้อมกล้องมองหลัง กับเซ็นเซอร์ช่วยจอดด้านหลังเท่านั้น ซึ่งน่าจะลองใส่ระบบความปลอดภัยจากรถรุ่นอื่นๆในค่ายเข้ามาใส่เพิ่มบ้างไม่น่ามีอะไรเสียหาย

    สรุปแล้ว..ต้องบอกเลยว่าถ้าคิดจะซื้อเจ้าก็อตซิล่าเข้ามาจอดในการาจส่วนตัวหรือออกไปเฉิดฉายรับความแรงบนท้องถนน ต้องไม่แคร์เรื่องออฟชั่นที่ให้มาไม่เท่ารถยุโรปหรูระดับไฮเอนด์ แต่สิ่งที่ได้มานั้นคือการขับขี่สุดฮาร์ทคอระดับ 555 ม้า จากเครื่อง V6 เทอร์โบคู่ ที่สามารถปรับความเกรี้ยวกราดให้ถูกใจจริตคนไทยขาซิ่งได้อย่างลงตัว กับค่าตัวที่ 11 ล้านนิดๆ ถือว่าคุ้มและได้ใจสายซิ่งไปเต็มๆกับ Nissan GT-R คันนี้นี่เอง


    บทความอื่น ๆ 

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts