หลังจากที่ Volvo ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น Volvo EX40 และ Volvo EC40 เพื่อไม่ให้เกิดเกิดความสับสนในการเรียกชื่อรุ่นล่าสุดพร้อมที่จะเปิดตัวในไทย
เหตุผลในการเปลี่ยนชื่อนั้นเพื่อให้แฟนๆจำง่ายและไม่มึนงงโดยชื่อ Volvo EX40 แทนชื่อเดิม Volvo XC40 Recharge และ Volvo EC40 แทนชื่อเดิม Volvo C40 Recharge เพื่อเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอกลุ่มรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบจากเดิมมีทั้ง EX30 EX90 ตัดชื่อ Recharge ออกไปทั้งในรุ่นไฟฟ้าและเสียบปลั๊กโดยในรุ่นเสียบปลั๊ก Plug In Hybrid จะใช้ชื่อต่อท้ายว่า T6 กับ T8 ตามความแรงของแต่ละรุ่นเช่น Volvo XC40 T8
ออปชันทั้งภายนอกและภายในทั้งสองรุ่นยังคงเดิมทั้งไฟหน้าทรงเอกลักษณ์ค้อน Thor’s Hammer แบบ pixel LED พร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED ไฟท้าย C Shaped แบบ LED กระจังหน้าโค้งเว้าพร้อมตราโลโก้ Volvo ขนาดใหญ่แบบ Iron mark ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ 5-Spoke Black Diamond Cut พร้อมยางหน้า 235/50 R19 และยางหลัง 255/45 R19 ฝากระโปรงหน้าแปลงกายเป็นที่วางสัมภาระ 30 ลิตร
ภายในเรียบง่ายด้วยชุดแผงคอนโซลหน้าในสไตล์ Topography Translucent Decor ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภูมิทัศน์ของเทือกเขาในประเทศสวีเดน ใส่ลูกเล่นซ้อนวัสดุที่แตกต่างกันถึง 3 เลเยอร์ ให้มุมมองสามมิติบนผิวสัมผัสที่เรืองแสงเพิ่มความโดดเด่นให้ห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยลวดลายภูมิประเทศกำหนดโทนสีภายใน เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุที่ปราศจากการใช้หนังสัตว์ทุกชนิด หลังคา Panoramic Glass Roof ให้มุมมองและความรู้สึกโล่งสบายในห้องโดยสารแต่ป้องกันความร้อนภายนอกได้สูงถึง 80%
ติดตั้งระบบ Infotainment ขนาด 9 นิ้ว Volvo with Google Built in ที่ให้คุณใช้แอปอย่าง Google Maps, Google Assistant ซึ่งเป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่านคำว่า “Hey Google” เพื่อควบคุมแอป อย่าง Sportify รวมทั้ง Google Play หรือจะควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน Volvo Cars App บนสมาร์ทโฟนของผู้ขับขี่ก็สามารถทำได้พร้อมระบบปฏิบัติการ Android สามารถอัปเดทผ่านทาง OTA (over-the-air) และ Apple Car Play ลำโพงระดับพรีเมียมจากแบรนด์ Harman Kardon รอบคัน 13 จุด แอมปลิไฟเออร์ 600 วัตต์ รวมซับวูฟเฟอร์และ Air-Ventilated ชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย มาตรวัดอันทันสมัย แบบจอสี TFT ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว
สำหรับสเปกไทยจะมาหรือไม่กับรุ่น Twin Motor Performance มอเตอร์ไฟฟ้าคู่แยกมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าและคู่หลังทำงานต่างกันโดยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าพัฒนาใหม่นี้ไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อนตลอดเวลาจึงช่วยลดการใช้พลังงานส่งผลให้ระยะทางการขับทำได้ไกลยิ่งขึ้น แต่เมื่อทำงานร่วมกันยังได้ความแรงเร้าใจเช่นเดิม ด้วยขุมพลังไฟฟ้ามอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ รหัส E400V6 ความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 82 kWh ให้แรงขึ้น วิ่งไกลขึ้นกว่าเดิมเพิ่มพลังเป็น 442 แรงม้า แรงบิดเป็น 670 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 583 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP สำหรับรุ่น EC40 และ 576 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP สำหรับ EX40 ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.6 วินาที
ความเร็วสูงสุดเท่าเดิม 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การชาร์จเร็วแบบกระแสตรง DC รองรับกำลังไฟสูงสุด 200 kW (เดิม 150 kW ได้ 29 นาที) จาก 0-80% ในเวลา 28 นาที ชาร์จช้ากระแสสลับ AC ยังคงเดิมด้วย 0-100% ประมาณ 8 ชั่วโมง เครื่องชาร์จไฟฟ้าที่บ้านแบบมาตรฐาน (Wallbox EV Changer) ขนาด 11 กิโลวัตต์ และยังสามารถตั้งเวลาชาร์จไฟรถยนต์ได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน Volvo on Call
จากเดิมจะมีทั้งรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อหรือ Twin Motor Dual Motor AWD P8 รหัส E400V6 ความจุแบตเตอรี่ 82 kWh พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าแบบอะซิงโครนัสมอเตอร์ให้กำลัง 150 แรงม้าและมอเตอร์หลังไฟฟ้าหลัง 258 แรงม้าให้กำลังสูงสุดเท่าเดิม 408 แรงม้า ที่ 4,350 – 13,900 รอบต่อนาที แรงบิด 660 นิวตันเมตร ให้ระยะทางการขับขี่เพิ่มขึ้นเป็น 645 กิโลเมตรต่อการชารจ์หนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ในรุ่น EX40 และ 650 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ในรุ่น EC40 การชาร์จเร็วแบบกระแสตรง DC รองรับกำลังไฟสูงสุด 200 kW (เดิม 150 kW ได้ 29 นาที) จาก 0-80% ในเวลา 28 นาที ชาร์จช้ากระแสสลับ AC ยังคงเดิมด้วย 0-100% ประมาณ 8 ชั่วโมง เครื่องชาร์จไฟฟ้าที่บ้านแบบมาตรฐาน (Wallbox EV Changer) ขนาด 11 กิโลวัตต์
และรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังให้กำลังมากถึง 238 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร จากชุดแบตเตอรี่ Lithium-ion Nickel rich NCM ที่มีความจุ 69 kWh (แต่ใช้งานได้ 66 kWh) ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเพิ่มขึ้นเป็น 590 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ในรุ่น EC40 และ 565 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ในรุ่น EX40 ด้านการชาร์จด้วยกระแสตรง DC รองรับกำลังการชาร์จ 150 kW โดยการชาร์จเร็ว 10-80% ได้ 34 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับกำลังการชาร์จ 11 kW โดยการชาร์จ 0-100% ได้ 7 ชั่วโมง
พร้อมระบบความปลอดภัยด้วยออปชัน Advanced Driver Assist System (ADAS) ช่วยให้กล้องและเซนเซอร์รอบตัวรถตรวจจับวัตถุได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และฟังก์ชันเพื่อช่วยในการขับขี่อื่น ๆ อาทิ เพิ่มระบบช่วยหยุดรถฉุกเฉิน Emergency Stop Assist (ESA) Driver Assist with Pilot Assist ช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control ควบคุมความเร็วแปรผันเพื่อรักษาระยะห่าง Collision Avoidance เลี่ยงการชนและหยุดรถอัตโนมัติ Cross Traffic Alert with Auto Brake แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลังออกจากที่จอด พร้อมฟังก์ชันหยุดรถอัตโนมัติ Lane Keeping Aid แจ้งเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถวิ่งออกนอกช่องทางเดินรถ
การเปิดตัวครั้งนี้ยังมาพร้อมสีใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับรุ่นพิเศษ Black Edition ตกแต่งเข้มทั้งคันด้วยตัวรถสีดำ ล้ออัลลอยดำเงา Onyx Black ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางหน้า 235/45 R20 และยางหลัง 255/40 R20 ในรุ่น EX40 และ EC40 กระจังหน้าพร้อมตราโลโก้ Volvo ขนาดใหญ่แบบ Iron mark ทึบสีดำ อักษรชื่อรุ่นสีดำเคลือบเงา และภายในโทนเข้มทั้งหมดด้วยเบาะนั่งผ้าชาร์โคล หรือ ไมโครเทค โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย 9 กรกฎาคม
