More

    จบการทดสอบ F1 เซสชั่นแรก และนี่คือสิ่งที่เราได้รู้จากการทดสอบ 3 วัน

    หลังจากพระอาทิตย์ได้ล่วงลับขอบฟ้าที่บาร์เซโลน่าไปเมื่อวันศุกร์ นั่นก็ถือเป็นอันว่าการทดสอบก่อนเปิดฤดูกาลตลอด 3 วันได้สิ้นสุดลงแล้ว และเราได้ทราบข้อมูลบางอย่างเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเล็กน้อยหลังจบการทดสอบวันสุดท้าย

    1. ตัวเต็งแชมป์โลกก็ยังคงเป็นตัวเต็งแชมป์โลก

    Mercedes และ Red Bull ได้ต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงในการแย่งชิงแชมป์โลกในปีที่ผ่านมา และพวกเขาจำเป็นที่จะต้องพัฒนารถใหม่ปี 2022 ไปด้วยในระหว่างที่ต้องพัฒนาตัวแข่งปี 2021 นอกจากนั้นจากกฎใหม่ปี 2022 ยังทำให้พวกเขาต่างถูกลดทอนปริมาณการทดสอบทางอากาศพลศาสตร์ แต่ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะไม่ทำให้พวกเขาแผ่วลงแต่อย่างใด โดย Mercedes จบการทดสอบในวันสุดท้ายด้วยอันดับ 1-2 และ Red Bull ในอันดับ 3-4

    ถึงแม้ว่าเวลาในการทดสอบนั้นจะเป็นอะไรที่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของรถ เนื่องจากแต่ละทีมต่างก็มีโปรแกรมการทดสอบที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ยังมีแพทเทิร์นบางอย่างที่พอจะสามารถนำมาเป็นข้อมูลอ้างอิงได้ อย่างเช่น การทำเวลาในชั่วโมงสุดท้ายของการทดสอบด้วยยางชนิดที่นิ่มกว่า นั่นกำลังบ่งบอกว่าทีมต้องการทดลองดูความเร็วของรถโดยที่ไม่ได้ใส่น้ำหนักเต็ม และนั่นคือสิ่งที่ Mercedes และ Red Bull ได้ทำในวันสุดท้ายของการทดสอบ ซึ่งทั้งคู่ก็กระโดดขึ้นมาอยู่หัวแถวอย่างง่ายดาย

    F1-75
    ที่มาภาพ : pledgetimes.com
    1. Ferrari ใช้ทรัพยากรและโอกาสได้ดี

    เป็นทีมที่ถูกซุบซิบอย่างมากในแพดด็อกเนื่องจากดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาและความเร็วที่แสดงออกมา เรียกได้ว่า Ferrari นั้นได้ใช้โอกาสจากการที่ตัวเองผลงานย่ำแย่ในปี 2020 ทำให้ได้รับอนุญาตให้ใช้อุโมงค์ลมและการจำลอง CFD เพิ่มขึ้นได้ดี รถของพวกเขาทำความเร็วได้อย่างน่าจับตา อีกทั้งยังมีความเสถียรและพบปัญหาน้อยมาก จนทำให้ทีมแข่งจากอิตาลีเป็นทีมที่วิ่งทดสอบไปได้ด้วยจำนวนมากที่สุดในบรรดาทุกทีมถึง 439 รอบสนามบาร์เซโลน่า

    1. รถใหม่เสถียร แต่ก็ยังพบปัญหาที่ประมาทไม่ได้

    กับกฎเทคนิคใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในปีนี้ หลายคนประหลาดใจที่เห็นรถคันใหม่ของแต่ละทีมสามารถวิ่งเก็บระยะทางกันไปได้หลายรอบโดยที่แทบไม่พบกับปัญหา นั่นเป็นสิ่งที่รถแข่งได้แสดงให้เราเห็นในวันแรกของการทดสอบ แต่แล้วในวันสุดท้ายปัญหาต่างๆ ก็เริ่มผุดออกมาให้เห็น มีธงแดงถูกโบกถึง 5 ครั้งในวันนี้ และ 4 ทีมแข่งที่เรียกธงแดงออกมา 3 ทีมในนั้นไม่ได้ออกมาวิ่งอีกเลยหลังจากเก็บกู้รถคืนมาจากแทร็ค

    Alpine Hydrauric Fault
    ที่มาภาพ : f1.com

    Alpine เป็นทีมที่เรียกธงแดงออกมาตั้งแต่ชั่วโมงแรกของการทดสอบ Fernando Alonso นั้นวิ่งไปได้เพียง 12 รอบ รถ Alpine ก็มีไฟลุกออกมาจากส่วนท้าย ซึ่งพวกเขาพบปัญหาไฮดรอลิครั่ว และมันเป็นปัญหาร้ายแรงถึงขั้นต้องเก็บรถกลับโรงงานแต่หัววันเลยทีเดียว

    ทางด้าน Aston Martin เป็นอีกทีมที่พบปัญหาเกี่ยวกับการรั่วไหล โดยทางค่ายเขียวเจอปัญหาน้ำมันเครื่องรั่ว ทำให้จบการทดสอบของ Sebastian Vettel ไปเพียง 48 รอบ ส่วนอีกทีมที่ต้องแพ็คกระเป๋ากลับบ้านก่อนจบการทดสอบคือ AlphaTauri เนื่องจาก Pierre Gasly พารถหลุดแทร็คออกไปชนจนเสียหายเกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้ทัน

    2 ทีมที่ดูจะมีปัญหามากที่สุดในการทดสอบตกเป็นของ Haas และ Alfa Romeo ทั้งคู่นั้นต่างเจอปัญหาสารพัดสไตรค์เข้ามารัวๆ ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นเพียง 2 ทีมที่วิ่งได้ไม่ถึง 200 รอบ โดยเฉพาะ Haas ซึ่งนอกจากจะเจอกับปัญหาทางเทคนิคแล้ว พวกเขายังต้องเจอกับปัญหาการเมืองสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้องถอดชื่อ Uralkali สปอนเซอร์หลักของทีมสัญชาติรัสเซียออกไปจากทั้งรถและการาจในการทดสอบวันสุดท้าย

    haas plain white
    ที่มาภาพ : f1.com
    1. ความหลากหลายในการออกแบบ

    กฎเทคนิคใหม่นั้นย่อมมาพร้อมกับการออกแบบที่หลากหลายซึ่งแต่ละทีมก็พยายามที่จะตีความออกมาให้ได้เปรียบมากที่สุด และหลายคนเซอร์ไพรส์มากทีเดียวถึงความหลากหลายที่มากมายของรถแข่ง 2022 ในแต่ละทีม ทั้งจมูกหน้า, ไซด์พอด, หรือผังช่วงล่างที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และเป็นที่น่าสนใจว่าการออกแบบแบบใดจะให้ผลลัพธ์ออกมาได้ดีที่สุด

    1. การไล่ตามรถคันหน้าง่ายขึ้น

    กฎใหม่ที่ออกมาปีนี้มีจุดประสงค์หลักในการทำให้รถแข่งสามารถเข้าใกล้และแข่งขันกันได้มากขึ้น แล้วผลที่ได้ออกมานั้นเป็นอย่างไร? Carlos Sainz ได้รายงานว่าเขาสามารถขยับเข้าใกล้รถคันหน้าได้มากขึ้น ถึงแม้ว่าในตอนแรกเขาจะกังวลว่าทีมแข่งแต่ละทีมจะตีความกฎออกมาจนลดทอนความสามารถในการไล่ลง เช่นเดียวกับ Pierre Gasly และ Alex Albon ที่จงใจขับเข้าไปใกล้รถคันหน้าเพื่อดูอาการของรถ ทั้งคู่ต่างให้ความเห็นไปในทางเดียวกันกับ Sainz นอกจากนั้นในช่วงบ่ายวันสุดท้ายของการทดสอบได้มีการสเปรย์น้ำลงบนพื้นแทร็คเพื่อทำการทดสอบยางเปียก มันทำให้เราเห็นละอองน้ำที่ออกมาจากท้ายรถซึ่งมันมีลักษณะเป็นไปตามแนวทางในการออกแบบที่ FIA กำหนดมา

    wet test
    ที่มาภาพ : f1.com
    1. ยางใหม่เริ่มต้นได้ดี

    ในปีนี้ F1 ได้เปลี่ยนมาใช้ยางขอบ 18 นิ้ว ซึ่งโจทยที่ Pirelli ผู้ผลิตยางเพียงหนึ่งเดียวในวงการได้รับมาคือ ทำให้ยางสามารถฟื้นสภาพกลับมาได้เร็วแม้ว่ามันจะถูกใช้งานอย่างหนัก โดยนักแข่งนั้นได้ทำการทดสอบอัดการขับอย่างหนักหน่วง พวกเขาพบว่ายางฟื้นสภาพกลับมาใช้งานได้ตามปกติได้เร็วกว่ายางเวอร์ชั่นเก่า และนั่นเป็นสัญญาณที่ดีทีเดียวที่อาจจะทำให้เราได้เห็นการดวลกันระหว่างนัแข่งที่ดุดันยิ่งขึ้น

    1. Porpoising สร้างความปวดหัวให้กับแต่ละทีม

    Porpoising หรือการกระดอนย่านความเร็วสูงนั้นเกิดขึ้นจาก Ground Effect ที่รถแข่งถูกออกแบบให้ใช้ในปีนี้ มันเป็นสิ่งที่ทุกๆ ทีมรู้ดีว่าจะต้องเจอ แต่พวกเขาไม่สามารถทดสอบผ่านอุโมงค์ลมหรือ CFD ได้ แต่ละทีมนั้นก็จะเจอปัญหามากน้อยแตกต่างกันไป อย่าง Alfa Romeo ที่เจอปัญหานี้หนักๆ ตัวรถนั้นกระดอนถึงขั้นทำให้พื้นรถเสียหายเลยทีเดียว และนั่นทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาซ่อมแซมรถมากกว่าที่จะได้ทดสอบรถใน 3 วันที่ผ่านมา

    1. การกดน้ำหนักรถลงเป็นปัญหาของทุกทีม

    ถึงแม้ว่ารถแข่งในปีนี้จะถูกเซตน้ำหนักขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 795 kg ซึ่งมันมากกว่ารถแข่งในปีที่แล้วถึง 43 kg ทีมแข่งแต่ละทีมยังคงพบปัญหากับการกดน้ำหนักรถลง โดยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากข้อบังคับความแข็งแรงของชาสซีส์ที่เปลี่ยนไป ยางขอบ 18 นิ้วที่หนักขึ้น และการจำกัดการใช้วัสดุราคาแพงบางอย่างเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับทีมแข่ง แน่นอนว่าแต่ละทีมจะต้องแก้ปัญหานี้และพยายามกดน้ำหนักรถลงให้ได้ โดยเราน่าจะได้เห็นอัปเดตชิ้นส่วนต่างๆ ของรถในการทดสอบครั้งหน้าที่บาห์เรน

    อ้างอิง : the-race.com

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts