6 เดือนที่แล้ว หลายฝ่ายเชื่อว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) จะสูญพันธุ์ไปจากโลกในอีก 15 ปีข้างหน้า หลังจากที่สหภาพยุโรปและแคลิฟอร์เนียตั้งเป้ากำหนดขีดจำกัดการปล่อย ‘มลพิษเป็นศูนย์’ นับตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป โดยที่รัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ เองก็พร้อมที่จะใช้ข้อกำหนดดังกล่าวตามติดกันมา
6 เดือนให้หลัง ณ ปัจจุบัน ปัญหาได้เริ่มปรากฏตัวออกมาให้เห็นทีละเล็กทีละน้อย เยอรมนีและอิตาลีขู่ว่าจะขัดขวางข้อกำหนดในการแบนการขายรถ ICE ในยุโรป เว้นเสียแต่ว่าจะมีการให้สัมปทานสำหรับเชื้อเพลิงสังเคราะห์ เพื่อให้รถที่ใช้ ICE ยังคงอยู่ได้ ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มากกว่าครึ่งได้ทำการสำรวจ และคิดว่าการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ‘ไม่สามารถทำได้’ ในระยะเวลาที่ถูกกำหนด
จากความร่วมมือด้านการวิจัยที่ดำเนินการโดย ABB Robotics และ Automotive Manufacturing Solutions พบว่า 59% ของผู้ตอบแบบสอบถามสงสัยว่า การเปลี่ยนไปใช้ EV จะเป็นไปได้ภายในกรอบเวลาที่ฝ่ายนิติบัญญัติกำหนดหรือไม่ โดยมีเหตุผลตั้งแต่ ห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ใหม่, ความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในระดับสูงที่จำเป็น, การขาดแคลนวัตถุดิบ, และ โครงสร้างพื้นฐานด้านการอัดประจุไฟฟ้า
จากความกังวลเหล่านั้น การขาดโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จถูกอ้างถึงมากที่สุด โดย 26% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าเป็นอุปสรรคหลักในการตัดสินใจซื้อ EV ในขณะที่ 17% ระบุว่าราคาที่สูงของ EV คือปัญหา
ผู้เข้าร่วมการสำรวจเกือบ 600 คน นั้นประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานโดยตรงให้กับค่ายผู้ผลิตรถ รวมถึง ซัพพลายเออร์, วิศวกร, และ ผู้จัดการที่ทำงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีเพียง 11% เท่านั้นที่เชื่อว่าเป้าหมายระดับภูมิภาคทั้งหมดสำหรับการนำ EV มาใช้ภายในปี 2030-40 จะเป็นไปได้จริง
นอกจากนี้ การศึกษายังได้ถามผู้เชี่ยวชาญกลุ่มเดียวกันนี้ว่า พวกเขาเชื่อว่าอุตสาหกรรมยานยนต์สามารถส่งมอบการผลิตที่ยั่งยืนได้หรือไม่ และผลลัพธ์ที่ออกมานั้นค่อนข้างเป็นบวกทีเดียว โดยมีเพียง 4% เท่านั้นที่บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่อีกเกือบ 25% บอกว่ามีโอกาส แต่ต้นทุนการผลิตนั้นจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียว
อ้างอิง : carscoops.com
