More

    รีวิว! Nissan GT-R ก็อตซิล่าหน้าหยก..คันโปรดขาซิ่งพันธุ์ซ่า

    ถ้าจะกล่าวถึง Nissan GT-R นั้นได้สืบทอดตำนานมาจาก Nissan Skyline GT-R และยังเป็นรถซูปอร์คาร์ไม่กี่ยี่ห้อสามารถทาบรัศมีรถแรงยุโรปได้

    Nissan

    Nissan GT-R เป็นรถซูเปอร์คาร์ที่แยกทำตลาดจาก Nissan Skyline ตั้งแต่ปี 2007 ในร่างที่ 6 พร้อมหน้าตาหล่อปรับโฉมครั้งแรกไปเมื่อปี 2017 และหนึ่งปีให้หลังการปรับโฉม นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) นำตำนานก็อตซิล่าหรือปีศาจแดนปลาดิบที่บดขยี้คู่แข่งจากยุโรปมาให้ชาวไทยได้รู้จักอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ Nissan High Performance Center – NHPC โดย นิสสัน กรุงไทย เป็นผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเจ้าเดียว

    สำหรับ Nissan GT-R ที่นำมารีวิวครั้งนี้เป็นรุ่นพิเศษ GT-R 50th Anniversary Edition ที่นำรุ่น MY2018 (ราคาจำหน่ายช่วงนั้น 13,500,000 บาท) มาตกแต่งฉลอง 50 ปี ออกขายไทยเมื่อเกือบสามปีที่แล้ว (ราคาจำหน่ายช่วงนั้น 11,300,000 บาท) โดยรุ่นนี้ออกมาก่อนรุ่น MY2021 (พื้นฐานรุ่น 50 ปี) กับรุ่น MY2022 ที่จำหน่ายปัจจุบันมีด้วยกันสองรุ่นย่อยทั้งรุ่น T-SPEC ราคา 12,200,000 บาท และรุ่น Premium Luxury ราคา 10,700,000 บาท

    Design & Exterior

    Nissan

    Nissan GT-R รหัส R35 ขายลากยาวกว่ารถบ้านๆในสังกัดอย่าง Nissan March K13 มีการปรับหล่อครั้งแรกหรือ Facelift และใช้หน้าตานี้มาถึงปัจจุบันเพียงแต่การตกแต่งภายนอกบางจุดจะแตกต่างกัน สำหรับคันที่รีวิวนั้นเป็นรุ่นพิเศษฉลอง 50 ปี จะมาในแบบสีทูโทนที่ได้แรงบันดาลใจจากการแข่งรถ Japan GP series กับสีฟ้าทั้งคัน Bayside Blue พาดด้วยลายทางสีขาวตั้งแต่ฝากระโปรงหน้าหลังคาจนมาถึงฝากระโปรงหลัง ซึ่งสีนี้ ผ่านกระบวนการทำสีถึง 4 ชั้น ด้วยการอบความร้อนถึง 2 ครั้ง ช่วยให้สีฟ้าโดดเด่นอย่างมีชีวิตชีวาประกายสะดุดตาและให้เงาลึกมีมิติ ขณะที่มีสีฟ้าบนซี่ล้อขนาด 20 นิ้ว มอบสัมผัสที่พรีเมียม มาพร้อมสัญลักษณ์ครบรอบ 50 ปี ติดท้ายรถ และสติ๊กเดอร์คำว่า 50th Anniversary ติดตรงกลางบนกรอบป้ายทะเบียน

    Nissan

    สำหรับรุ่นพิเศษ 50 ปีเป็นต้นมาจนมาถึงรุ่น MY2021 และ MY2022 มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่น MY2018 บางจุดเริ่มที่ กรอบสีเงินที่กรอบไฟตัดหมอก LED ฐานกระจังหน้ากับลิ้นสปอยเลอร์ใต้กันชนหน้าหรือดิฟฟิวเซอร์ เป็นคาร์บอนแบบ SMC สเกิร์ตข้าง และลิ้นสปอยเลอร์หลังหรือดิฟฟิวเซอร์หลังทำจากคาร์บอนคอมโพสิท เปลี่ยนสีการตกแต่งจากสีเงิน มาเป็น สีดำเงาทั้งหมด และปลายท่อไอเสียไทเทเนียมคู่ สองฝั่งนั้นเปลี่ยนจากสีเงินมาเป็นสีดำเงา และล้ออัลลอยจากลายห้าก้านคู่มาเป็นซี่ล้อแบบสิบห้าก้านลายตระการตาขนาด 20 นิ้ว แบบ Super Light Weight พร้อมยางรันแฟลต Dunlop SP Sport Maxx GT 600 DSST CTT ขนาด 255/40ZRF20 สำหรับล้อหน้า และ 285/35ZRF20 สำหรับล้อหลังบนพื้นฐานเดิมทั้ง กระจังหน้าในสไตล์ V-Motion แบบโครเมี่ยมเงาด้านและแพทเทิร์นโครงตาข่าย ฝากระโปรงหน้าดีไซน์สะท้อนสมรรถนะที่เหนือชั้นขณะขับขี่พร้อมไฟหน้าแบบ LED พร้อม AFS ปรับองศาของไฟได้ตามการหมุนของพวงมาลัย ไฟท้ายมาในแบบทรงกลมแบบเดียวกับโดนัทมีรูมาพร้อม Multi-LED สปอยเลอร์ทรงใหญ่พร้อมไฟเบรก LED ในตัว บังโคลนหน้าซ้าย-ขวามีไฟเลี้ยวติดมุมมาให้เพิ่มการมองเห็นชัดเจนรวมถึงช่องระบายอากาศแนวตั้งเป็นหนึ่งเดียวกับประตูรถที่เปิดประตูดีไซน์เรียบเนียนกับตัวถังโดยใช้วัสดุอะลูมิเนียม พร้อมปุ่มดำปลดล็อก และกระจกมองข้างบานใหญ่ทรงสปูน โดยมิติตัวรถยังคงใหญ่โตเช่นเดิมด้วย ความยาว 4,710 มม. ความกว้าง 1,895 มม. ความสูง 1,370 มม. น้ำหนักตัวรถ 1,770 กก. ฐานล้อ 2,780 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 110 มม. น้ำหนักรถ 1,754 กก. พื้นที่บรรทุกสัมภาระท้าย 315 ลิตร และความจุถังน้ำมัน 74 ลิตร

    Interior & Convenience

    Nissan

    ภายในของ Nissan GT-R 50th Anniversary Edition ตกแต่งภายในสีเทาพิเศษหรูหราชวนให้นึกถึงบรรยากาศของท้องฟ้ายามค่ำคืนหลังจากเวลาพลบค่ำ พวงมาลัยและการตกแต่งหัวเกียร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เบาะนั่งพิมพ์ลายนูนที่ออกแบบพิเศษ ชิ้นส่วนที่หุ้มหลังคาของรถใช้วัสดุแบบ Alcantara® ตัดเย็บเป็นเอกลักษณ์ บังแดดหุ้มด้วยวัสดุ Alcantara® และก็ใช้มาจนถึงรุ่น MY2021 และในรุ่น MY2022

    เบาะนั่งสปอร์ตดีไซน์ค่อนข้างกระชับโดยเป็นเบาะนั่ง Bucket Seat หุ้มหนังแท้ Nappa โดยปรับมือด้วยปุ่มกลมๆข้างเบาะในส่วนของการเอน และตัวที่รองนั่งปรับสูงต่ำด้วยไฟฟ้า ซึ่งถือว่าให้อารมณ์ความดิบจริงๆแม้จะไม่ระบบไฟฟ้าปรับเอนเบาะก็ตาม ส่วนด้านหลังเป็นเรื่องปกติของรถสปอร์ตที่ไม่เน้นความสบายมากเท่าไหร่ โดยเข้าไปนั่งอาจลำบากในการลุกขึ้นลงและด้วยตัวผมสูง 174 ซม. และความลาดลงของหลังคารถอาจทำให้หัวติดได้ และสำหรับกุญแจรีโมทนั้นดีไซน์สหกรณ์ที่ Nissan ใช้กันมาทุกรุ่นรวมถึง GT-R แต่เปลี่ยนโลโก้จาก Nissan มาเป็น GT-R แทนซึ่งก็ต้องบอกกันเลยว่าอาจดูด้อยเชยไปนิดนึง  รวมถึงสวิตช์ต่างๆที่ยกงานดีไซน์สวิตช์มาจากรถ Nissan ระดับตลาด ซึ่งก็ดูแล้วไม่ค่อยดูดีเสียเท่าไหร่

    Nissan

    พร้อมออพชั่นเดิมๆติดรถทั้งคอนโซลหน้าสไตล์ Horizontal Flow ดีไซน์เชื่อมต่อกันแบบยาวต่อเนื่องจนถึงแผงคอนโซลกลางหุ้มหนังสัมผัสแบบ Nappa หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Nissan Connect  CD/tuner/MP3/AUX/USBx2 แต่ไม่สามารถรองรับ Apple Car Play กับ Android Auto ถือว่าน่าเสียดาย แต่ยังดีที่มีจอแสดงการทำงานของตัวรถทั้ง ค่า Boost , เปอร์เซ็นต์การเหยียบคันเร่ง เปอร์เซ็นต์การเหยียบเบรก และแรงดึง G ในชุดจอสัมผัสมาให้ถือว่าได้อย่างเสียอย่าง ลำโพงคุณภาพจากค่าย BOSE ทีให้มากถึง 11 ตัว การจัดวางฟังก์ชั่นต่างๆในคอนโซลกลางลดจำนวนสวิตช์เหลือเพียง 11 ปุ่ม โดยมีทั้ง สวิตช์เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา ไฟฉุกเฉิน ถัดลงมาเป็นปุ่มที่เรียกว่าเป็นหัวใจของการขับขี่ทั้งสามปุ่มหลักนั่นก็คือปุ่มการตั้งค่าเกียร์ฝั่งซ้ายมือ ปุ่มตั้งค่าช่วงล่างรองรับน้ำหนัก และปุ่มการทำงานของการควบคุมทรงตัว VDC/ESP ขวามือ ปุ่มสตาร์ทรถยนต์ พร้อมสวิตช์ Rotary Control ควบคุมการทำงานของจอสัมผัสโดนฐานของคอนโซลเกียร์ตกแต่งจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมเบรกมือแบบก้านคันโยก มาตรวัดบอกการทำงานของความเร็ว รอบเครื่องยนต์ วัดอุณหภูมิ ระดับน้ำมัน และบอกตำแหน่งเกียร์ ตกแต่งพื้นหลังของชุดมาตรวัดแบบคาร์บอน บ่งบอกในความสปอร์ตเร้าใจ และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสามก้านหุ้มหนัง Nappa เช่นกันโดยสามารถปรับสูงต่ำและเข้าออกได้ถึง 4 ทิศทาง และ Paddle Shift

    Engine & Transmission

    Nissan

    ทีมช่างฝีมือ TAKUMI จากเมืองโยโกฮาม่า บรรจงสร้างขุมพลังแฮนด์เมดสุดโหดกับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ V6 24 วาล์ว รหัส VR38DETT 3.8 ลิตร 555 แรงม้าที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดมากสุด 632 นิวตันเมตรที่ 3,300-5,800 รอบ/นาที ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 3,799 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ X ช่วงชัก 95.5 X 88.4 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 9.0 :1 ปล่อย CO2 ที่ 283 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ GR6 6 สปีด และเมื่ออยู่ในโหมด R-Mode สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเวลาชั่วพริบตา เพียง 0.15 วินาที พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ All Wheel Drive

    Nissan

    ด้วยน้ำหนักตันปลายๆ บรรจงสร้างมาทาบรัศมีคู่แข่งแบรนด์ยุโรปแบบเทหน้าตักนั้นสามารถทำผลงานได้เยี่ยมกดเป็นมาแรงหลังติดเบาะ ยิ่งมีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้ง 3 โหมดไม่ว่าจะเป็น โหมด Normal, SAVE และโหมด R โดยเฉพาะโหมดนี้กระชากวิญญาณอย่างเห็นๆพุ่งทะยานแบบไม่คิดชีวิต ผนวกกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์และท่อไอเสียที่ดังปุ้งๆ ให้ความดุดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเสียแต่ว่าต้องควบคุมตัวเราให้ดีที่สุดไม่งั้นมันจะตะเลิดเปิดเปิงกันไป แต่ถ้ามาเป็นโหมด Normal เน้นขับสบายเสียเป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีบางอารมณ์ทีอยากซิ่ง ก็สามารถทะยานไปได้ระดับหนึ่ง เพราะมันอั้นๆไว้รอให้ไปใช้โหมด R ซึ่งแป็นโหมดอภิมหาซิ่งนั่นเอง ส่วนโหมด SAVE สำหรับขับขี่พื้นถนที่มีความลื่นและชุดเพลาส่งกำลังมายังล้อหลังแบบอิสระ การจับอัตราเร่ง Performance Test จากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. ทำได้ในเวลากระชับรวดเร็ว 3.37 วินาที และ การเร่งแซง 80-120 กม./ชม. ทำได้ 2.78 วินาที

    Nissan

    เกียร์อัตโนมัติลูกนี้เป็นแบบคลัตช์คู่ 6 สปีด สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเวลาชั่วพริบตา รวมถึงการตัดต่อที่ค่อนข้างรายเรียบมั่นใจด้วยแปเนเหนี่ยวไก Paddle Shift สามารถกดได้ทันใจในเสี้ยววินาที หรือถ้าอยากเข้าโหมด M สามารถผลักไปทางขวามือเพื่อไล่เกียร์ตั้งแต่เกียร์ 1 ยัน เกียร์ 6 อย่างเมามัน ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันนั้นบอกได้คำเดียวว่าถ้ามีเงินเติมน้ำมันแบบไร้กังวลก็เติมได้เลยเพราะคันนี้ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 4 กม./ลิตรนั่นเองแถมสามารถเติมแก็สโซฮอล์ 95 ได้อีกด้วยเพราะรถ GT-R ทุกคันที่ขายโดยทาง Nissan High Performance Center ออกแบบมาเพื่อรับกับน้ำมันของไทยได้เต็มประสิทธิภาพ

    Handling & Ride

    Nissan

    ช่วงล่างของเจ้าก็อตซิล่าคันนี้มาพร้อมความสปอร์ตขับมันด้วยช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ โดยด้านหน้าแบบ อิสระดับเบิลวิชโบนพร้อมแขนยึดอลูมินัมและเหล็กกันโคลง Independent Double Wishbone with Aluminum (forged) Upper Links and Lower Arms และด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงก์ พร้อมแขนยึดอลูมินัม Independent Multilink with Aluminum (forged) Upper Links โดยมีความกระด้างเพราะยางแก้มเตี้ย 35 มม.และ 40 มม. ในการขับขี่ทั่วไปแต่ยังให้ความหนึบเกาะถนนอย่างมั่นใจ และยังควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเสถียรภาพในการเข้าโค้ง และการขับขี่ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นด้วยขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบบ Full Time ถ่ายทอดกำลังมายังสี่ล้อ เน้นการเข้าโค้งอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะสาดโค้งไหนก็ไม่หลุดอย่างแน่นอน ผนวกกับการใช้โช๊คอัพจาก Bilstein Damp Tronic ที่สามารถปรับได้ 3 หมวดทั้ง Normal, Comfort และ R ทางด้านพวงมาลัยเป็นแบบอิเลกโทรนิก ผ่อนแรงไฟฟ้าตามความเร็วรถคือถ้าขับในโหมด Normal ก็จะหนักนิดๆแต่ก็สามารถควบคุมง่าย แต่ถ้าเข้าโหมด R เมื่อๆไหร่น้ำหนักก็จะหนักขึ้น ด้านระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ โมโนบล็อก ด้านหน้ามาแบบแบบคาลิปเปอร์ 6 สูบ และ 4 สูบสำหรับด้านหลัง จานดิสก์เบรกเป็นแบบลอยตคัวสองชิ้นแบบเจาะรูเซาะร่องกลางจานขนาด 390 มม. สำหรับล้อหน้า และ 380 มม. สำหรับล้อหลัง โดย Brembo และหม้อลมเบรกใหม่เพิ่มการตอบสนองการเบรกที่สั้นลง ส่งผลให้ความสามารถในการหยุดรถมีเพิ่มขึ้น เมื่อเหยียบเบรกไปแล้ว 20-30 %

    Safety & Feature

    Nissan

    ระบบความปลอดภัยของเจ้าก็อตซิล่าคันนี้ให้มาแบบพื้นฐานไม่ได้หรูหรามีตัวช่วยมหัศจรรย์ทั้งเตือนการชน เตือนถอยหลัง หยุดรถอัตโนมัติ ฯลฯ แต่ที่เป็นพื้นฐานนั้นถือว่าแน่นครบครันทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุดทั้งคู่หน้า ด้านข้างและม่านนิรภัย ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VDC ป้องกันการลื่นไถล ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS เบรก ABS + EBD + BA กล้องมองหลัง พร้อมเซ็นเซอร์ช่วยจอดด้านหลัง และตรวจสอบแรงดันลมยาง TPMS

    Verdict

    ์Nissan

    ถ้าคิดจะซื้อเจ้าก็อตซิล่าเข้ามาจอดในการาจส่วนตัวหรือออกไปเฉิดฉายรับความแรงบนท้องถนน ถ้าไม่แคร์เรื่องออพชั่นที่ให้มาระบบหนึ่งไม่หรูหราเท่ารถยุโรปแพงๆไฮเอนด์ แต่สิ่งที่ได้มานั้นทั้งเบาะหนังการแต่งหนังหุ้มคอนโซลหน้าด้วยหนัง Nappa ผ้าหุ้มหลังคาขึ้นรูปลายสวยแบบ Alcantara ลำโพง BOSE ช่วงล่างที่ได้โช๊คอัพจาก Bilstein มาเป็นแบ็คอัพ การขับขี่ค่อนข้างง่ายพร้อมความอหังการจากความฮาร์ทคอโหดสุด  555 ม้า เทอร์โบคู่ V6  ปรับความเกรี้ยวกราดให้เข้ากับจริตคนไทยขาซิ่งถือว่า Nissan ใส่ใจทำรถเพื่อตอบโจทย์ตลาดแต่ละประเทศอย่างดี กับค่าตัวที่ป่วนเปี้ยนแถว 10 -12 ล้านบาท ถือว่าสะใจและได้ใจไปเต็มๆกับ Nissan GT-R

    Nissan

    ขอขอบคุณ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท นิสสัน กรุงไทย จำกัด หรือ Nissan High Performance Center ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ Nissan GT-R 50th Anniversary Edition มารีวิวครั้งนี้

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts