More

    ISUZU MU-X 1.9 x Ford Everest Sport มวยคู่เอกพีพีวีขับสองรุ่นหรู

    หลังจากที่ Car2Day เคยจับรถยนต์อเนกประสงค์ Pickup Passenger Vehicle หรือ PPV มาเปรียบเทียบทั้งในรูปแบบเนื้อหาและวีดีโอกันหลายครั้งแล้ว

    ISUZU

    ครั้งนี้ก็เช่นเคยกับการเปรียบเทียบรถยนต์อเนกประสงค์จากพื้นฐานรถปิกอัพหรือ PPV มาจากค่ายรถยนต์ที่คนไทยนิยมมาช้านานถึงสองยี่ห้อ สองรุ่น แต่เป็นรุ่นขับเคลื่อนสองล้อขุมพลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 2.0 ลิตรมา Face2Face กันนั่นก็คือ ISUZU MU-X 1.9 Ultimate ที่ปรับปรุงหน้าตาใหม่ให้ดูดีมีสง่า และ Ford Everest 2.0 Sport เทอร์โบเดี่ยว ที่เปิดตัวเจเนอเรชันใหม่มาครบปีแล้ว

    Design & Exterior

    ISUZU

    ISUZU MU-X Ultimate ถึงชื่อเกรดจะเป็นรุ่นท็อปแต่เป็นรุ่นเริ่มต้นของเกรดนี้กับพลัง 1.9 ลิตร ขับเคลื่อนสองล้อปรับเปลี่ยนตกแต่งหน้าตากันเล็กน้อยในร่างเดิมตั้งแต่กระจังหน้าทรงเขี้ยวสองชั้นแบบใหม่ตกแต่งด้วยสีดำโครเมียม Black Chrome พร้อมตรา ISUZU บนขอบกระจังหน้าแบบสีเทา Magnetite Gray ดูเข้มขึ้นพร้อมชุดแต่งสีเทา Magnetite Gray ที่กรอบไฟตัดหมอกหน้า LED และคิ้วตกแต่งใต้กันขนหน้า สอดรับกับเส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยล้ออัลลอยลายใหม่หกก้านคู่ปัดเงา ขนาด 20 นิ้วพร้อมยางขนาด 265/50 R20 เป็นยาง H/T ค่าย Bridgestone รุ่น Dueler 684 II ราวหลังคาสีเทาดีไซน์ Built-In เป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ พร้อม เสาอากาศครีบฉลาม กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ที่เปิดประตูสีเดียวกับตัวรถพร้อมปุ่มล็อก-ปลดล็อกสีดำในชุดก้านเปิดประตูคู่หน้า ทำงานร่วมกับกุญแจ ISUZU Genius Entry สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย Remote Engine Start และใช้เปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้า โดดเด่นอีกขั้นกับคิ้วขอบกระจกทั้งบานใส่ขอบโครเมียมดุจรถยนต์นั่งระดับหรูและบันไดข้างสีใหม่สีเทา Magnetite Gray

    ด้านท้ายคงเดิมเพิ่มเติมด้วยไฟท้าย LED สีเทาดำแบบ Winglet Signature ตกแต่งด้วยกันชนหลังสีเดียวกับตัวรถและคิ้วใต้กันชนหลังสีเทา Magnetite Gray เช่นเดียวกับคิ้วใต้กันชนหน้าและพิเศษกว่ารถ PPV ในระดับเดียวกันด้วยฝาท้ายทั้งชิ้นทำมาจากวัสดุ เรซิ่น คอมโพสิท ผลดีของมันช่วยให้ฝาท้ายมีน้ำหนักเบาขึ้นกว่าฝาท้ายที่หล่อขึ้นจากเหล็กทั้งชิ้นและส่งผลให้น้ำหนักรถลดลงไปด้วยมาพร้อมเปิด-ปิดฝาท้ายแบบไฟฟ้าแบบ Step Sensor สามารถเดินหน้าถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเปิด-ปิด โดยกุญแจรีโมทต้องอยู่กับตัว พร้อม Jam Protection ป้องกันการหนีบเวลามีคนซุกซนเล่นปิดฝาท้าย ระบบจะหยุดทันที ถึงแม้จะให้ความสะดวกไม่ต้องเสียเวลากับการเตะฝาท้ายแบบเดิมแต่ก็ต้องทำความคุ้นเคยการใช้งานกันสักนิด และยังมีสัญญาณะกะระยะการจอดให้มาหน้า-หลังรวมกัน 8 จุด กับกล้องมองหลัง

    Ford

    ทางด้าน Ford Everest รุ่น Sport หน้าตาจะคล้ายๆกับรุ่นท็อปสุด Titanium+ แต่ปรับลุคให้ตกแต่งเข้มทั้งคันด้วยชุดแต่งสีดำตั้งแต่กระจังหน้าทั้งชิ้นดีไซน์รังผึ้งสีดำติดตราโลโก้ Ford พร้อมโลโก้ตัวอักษร Everest สีดำเงาบนขอบฝากระโปรงรถ กรอบไฟตัดหมอกหน้า LED สีดำ คิ้วใต้กันชนหน้าก็สีดำเช่นกัน ไฟหน้า LED พร้อมไฟ Daytime รูปตัว C ในโคมเดียวกัน

    ด้านข้างตกแต่งสีดำตั้งแต่ราวหลังคารถแบบ Built-In เสาอากาศแบบเสาสั้น กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED แต่ไม่มีไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้างกับที่เปิดประตูจะตกแต่งด้วยสีดำเงา ช่องระบายอากาศตรงบังโคลนสองข้างเข้มพร้อมตราตัวหนังสือ Turbo ล้ออัลลอยมาพร้อมขนาดใหญ่สุด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20  จากค่าย Goodyear Wrangler Territory H/T บันไดข้าง

    ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ตัว U คว่ำสีรมดำแบบ Signature แต่มีสัญญาณะกะระยะการจอดให้มาหน้า-หลังรวมกัน 8 จุด ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าพร้อมชุดเซนเซอร์เปิดฝาท้ายแบบสามารถใช้เท้ายื่นไปที่ใต้กันชนท้าย และระบบป้องกันการหนีบในชุดกันชนหลังแบบสีเดียวกับตัวรถพร้อมคิ้วสีดำใต้กันชนหลังแต่กล้องให้แค่กล้องมองภาพด้านหลังแบบเดียวกับ MU-X

    Dimension

    ISUZU

    ทั้ง ISUZU MU-X 1.9 Ultimate และ Ford Everest 2.0 Sport มาจากพื้นฐานปิกอัพกันทั้งคู่แต่ปรับทุกสิ่งอย่างให้กลายเป็นรถพีพีวี สมบูรณ์แบบจากตาราง

    ISUZU

    เมื่อมามองมิติตัวรถทั้งสองรุ่นนี้จะพบว่า Ford Everest Sport  มีมิติที่มากกว่า ISUZU MU-X 1.9 Ultimate ในบางจุด โดยความยาวตัวรถ Everest ยาวกว่า 64 มม. ความกว้าง Everest กว้างกว่า 53 มม. ความสูง Everest สูงกว่า 27 มม. น้ำหนักรถ Everest มากกว่า 275 กก. แต่ฐานล้อ MU-X ยาวกว่า Everest มากกว่า 5 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ MU-X สูงกว่า 8 มม. แต่ความจุถังน้ำมันเท่ากัน

    Interior & Convenience

    ISUZU

    ภายใน ISUZU MU-X 1.9 Ultimate หรูกว่าครั้งก่อนเพิ่มเติมการดีไซน์โทนสีภายในใหม่ด้วยโทนสีน้ำตาลคล้ายสีโอวัลติน แบบ Macchiato Brown อารมณ์นุ่มลึกสีน้ำตาลเทาสลับสีน้ำตาลเข้ม เพิ่มอารมณ์หรูด้วยวัสดุ Piano Black และ Chrome และเบาะนั่งโอบกระชับรับสรีระยิ่งขึ้น พร้อมด้วยเทคโนโลยี COOLMAX ช่วยลดการสะสมความร้อน ในชุดเบานั่งกึ่งหนังแท้โดยเบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางสำหรับคนขับและ 4 ทิศทางสำหรับคนนั่ง มีระบบยกเลิกการทำงานถุงลมนิรภัยด้านผู้โดยสารสำหรับการติดตั้งที่นั่งคาร์ซีทในเบาะโดยสารด้านหน้า โดยระบบการทำงานอยู่ที่ด้านข้างคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสารด้วยการไขกุญแจยกเลิกการทำงาน

    เบาะนั่งตอนที่ 2 ดีไซน์หรูซ่อนรูปพร้อมที่ท้าวแขนปรับและที่วางแก้วน้ำปรับเอนได้ถึง 22 องศา และยังฝังเต้าเสียบเข็มขัดนิรภัยลงในหลุมเบาะนั่งซึ่งไม่ต้องมานั่งบ่นเกะกะอีกต่อไปแถมยังพับได้ 60/40 แบบพับม้วนเดียวจบเพื่อเข้าไปนั่งในตอน 3 รวมถึงจุด ISOFIX สำหรับวางคาร์ซีทเด็ก แต่ว่าปรับเลื่อนไม่ได้ เบาะนั่งตอน 3 พับได้แบบ 50/50 ทั้ง 2 ตอนหลัง นั่งสบายปรับเอนได้พื้นที่วางขาพื้นที่หลังคายังมีเหลือๆ เหยียดขาได้เต็มที่ และตอน 3 มีพื้นที่วางขาอยู่พอสมควร เด็กๆนั่งได้ โดยพื้นที่วางของหลังเบาะตอน 3 มีกล่องอเนกประสงค์ใส่ของกระจุกกระจิกได้สบายๆ สำหรับพื้นที่หลังเบาะตอน 3 ก่อนพับจะมีพื้นที่ความจุมากถึง 311 ลิตร และเมื่อพับเบาะตอน 3 ลงมีพื้นที่ความจุมากถึง 1,119 ลิตร และเมื่อพับตอน 2 กับตอน 3 ด้วยกันจะมีพื้นที่ความจุมากถึง 2,138 ลิตร มีช่องเก็บของและที่วางแก้ว 12 จุด วางขวดน้ำขนาดใหญ่ 1.5 ลิตรได้สบายๆ เอาใจคุณผู้หญิงคุณผู้ชายเสริมหล่อแต่งสวยด้วยที่บังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าฝังไฟส่องสว่าง 2 จุด ราวจับมือถึง 8 จุด และกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ

    คอนโซลหน้าหรูแบบโทนดำหุ้มหนังสัมผัสสีน้ำตาลเทา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอ MID 4.2 นิ้ว เบรกมือไฟฟ้า และ Auto Brake Hold ในชุดคอนโซลเกียร์ มีไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร Ambient Light สีขาวสีเดียวปรับความสว่างได้ 3 ระดับ และ ไฟ Dome Light ส่องคอนโซลเกียร์ มีระดับด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto แต่เสียดายว่าตัดระบบนำทางในตัวจอออกไป แต่ให้ลำโพง 8 จุด รอบคัน เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์หลัง กรองอากาศเข้าห้องโดยสาร High Efficiency Filter สามารถดักฝุ่น PM 2.5 ได้ Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย ทั้ง USB Fast Charger ช่องต่อ AC Power Socket 220V ช่องต่อ DC 12V และปุ่ม Push Start

    ฟังก์ชันเอาใจคนรักความสะดวกสบายด้วย กระจกบังลมหน้าแบบ IR Cut ช่วยกรองรังสีอินฟราเรด ป้องกันรังสี UVA และ UVB ช่วยลดอุณหภูมิในห้องโดยสาร ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารเปิดอัตโนมัติ เมื่อเข้าใกล้รถในระยะ 2 เมตร Welcome Light ล็อกประตูอัตโนมัติ เมื่อเดินออกห่างจากตัวรถเกินระยะ 3 เมตร Walk Away Auto Lock เปิดไฟส่องสว่างได้นาน 30 วินาที หลังดับเครื่องยนต์ Follow Me Home Remote Engine Start จอดรถกลางแดดแล้วตั้งระบบปรับอากาศไว้ก่อนดับรถสามารถสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยกุญแจรีโมทได้ในระยะ 20 เมตร แต่การทำงานอาจจำกัดการใช้งานคือเมื่อเปิดประตูรถจะดับและสตาร์ทใหม่อีกครั้ง

    Ford

    ทางด้าน Ford Everest 2.0 Sport ติดตั้งแผงหน้าปัดด้านหน้าที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ คอนโซลกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้สำหรับเบาะคู่หน้า ระบบการชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติหุ้มด้วยหนังดีไซน์คุ้นเคย พร้อมเบรกมือไฟฟ้า แต่ Auto Hold กลับไปอยู่ในจอสัมผัสซึ่งสร้างความยุ่งยากในการใช้งาน เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า และเบาะนั่งผู้โดยสารคู่หน้าตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปักชื่อ Sport ที่เบาะคู่หน้า เบาะนั่งแถวที่ 2 พับได้แบบแบ่ง 60:40 แต่การปรับเพื่อเข้าไปนั่งเบาะตอนนั่งแถวที่ 3 ไม่สามารถพับทีเดียวจบแบบเดียวกับ MU-X เป็นการเลื่อนเบาะคล้ายเบาะแคปในรถกระบะซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการขึ้นลง ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งทำให้รถจุผู้โดยสารได้ 7 คน แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 และพับได้แบบธรรมดา ที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆ

    ยกระดับอุปกรณ์เชื่อมต่อการสื่อสารและเทคโนโลยีอันทันสมัย ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว หน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 10.1 นิ้ว แนวตั้ง มาพร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพื่อการสื่อสาร ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงและเข้าถึงข้อมูลต่างๆ รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto พร้อมลำโพง 8 จุด

    ช่องต่อไฟ 12V (12V Power Sockets) แต่ไม่มีปลั๊กเสียบ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลาง แต่ยังมีที่ชาร์จมือถือไร้สาย มีสวิตช์ควบคุมการทำงานของแอร์หลังได้ พร้อมแอปพลิเคชัน FordPass™ ช่วยให้ลูกค้านัดเข้ารับบริการผ่านช่องทางออนไลน์สั่ง สตาร์ทรถผ่านทางแอปฯ ได้ สามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็คสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อก และปลดล็อกผ่านโทรศัพท์มือถือ และกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติพร้อมช่องเสียบ USB สำหรับติดตั้งกล้องบันทึกภาพ แต่ไม่มี ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร Ambient Light

    Power & Transmission

    ISUZU

    ISUZU MU-X Ultimate ใช้ขุมพลังยอดนิยมขวัญใจชาวแต่งซิ่งที่ซื้อมาแต่งหรือซื้อมาแบบสายชิว กับดีเซลเทอร์โบแปรผัน VGS 1.9 Ddi Blue Power Gen 2 รหัส RZ4E-TC กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน–เมตร ที่ 1,800–2,600 รอบ/นาที ปล่อยไอเสีย CO2 เพียง 177 กรัม/กิโลเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต Rev Tronic และ Sequential Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส และลุยน้ำได้สูงสุด 800 มม.

    Ford

    ทางด้าน Ford Everest Sport เป็นดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง รหัส P02Q High-Power 170 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด 6R80 ปล่อยไอเสีย CO2 เพียง 198 กรัม/กิโลเมตร พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ normal, โหมดประหยัด, eco, โหมดถนนลื่น slippery, โหมดลากจูงและบรรทุก tow/haul  ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มม.

    Driving

    ISUZU

    การขับขี่ของรถ PPV ทั้งสองรุ่นนี้มีบุคลิกที่ต่างกัน โดยทาง ISUZU MU-X 1.9 Ultimate เน้นการใข้งานที่เรียบง่ายไม่หวือหวาการเรียกำลังคลิกดาวน์อาจมีอาการหน่วงเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับอืดอาด เสียงเครื่องยนต์เงียบสมูทดีในช่วงรอบต่ำจนถึงขับปกติ 60-120 กม./ชม.เพราะการออกแบบฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้น ส่วนการทำงานของรอบเครื่องยนต์ในรอบเดินเบาไม่เกิน 800 รอบ/นาที ยังเงียบสนิท

    ยังมี ISS (Idling Stop/Start System) ตัดการทำงานเครื่องยนต์ชั่วคราวและกลับมาทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อแตะคันเร่ง แต่ยังคงเหยียบเบรกและตำแหน่งเกียร์ต้องอยู่ในเกียร์ D แต่การทำงานเร็วขึ้นแค่นาทีเดียวและให้ระบบแอร์เปิดทำงานได้ แต่ถ้าไม่ชอบสามารถปิดการทำงานโดยไม่ต้องติดดับๆอีกต่อไป ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เป็นรุ่น AWR6B45 จากค่าย AISIN ปรับเซตการทำงานของเกียร์ลูกนี้สัมพันธ์กับความเร็วได้น่าอย่างราบรื่น ไม่กระตุก แถมมี Rev-Tronic บวก/ลบสร้างความสนุกในการขับขี่ทางด้าน Engine Brake ที่จะคอยดึงกำลังของเครื่องยนต์ช่วงความเร็วลดลงมาถึง 60 กม./ชม. ยังอยู่

    ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone และเหล็กกันโคลง ช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension พร้อมเหล็กกันโคลง ให้การยึดเกาะถนนอย่างแม่นยำ ไม่โคลง แม้กระทั่งการขับขี่ทางเรียบ ทางตรง ให้ความนุ่มนวลเช่นเดิมถึงจะกระเด้งบ้าง การยึดเกาะถนนทำได้ดี และถ้าจะให้ดี ก็เติมลมยาง 32-33 เพื่อการขับขี่ที่สมดุล และนุ่มนวลที่สุดและมี โช้คอัพแก๊ส 4 ต้น

    พวงมาลัยพาวเวอร์แบบแร็คแอนด์พิเนียนแบบน้ำมัน น้ำหนักเบาใช้งานได้อย่างสะดวก มั่นใจในการใช้งานมากขึ้นระยะวงเลี้ยวแคบสุด เพียง 5.6 เมตร กลับรถได้แบบม้วนเดียวจบไม่ต้องขยับเดินหน้าถอยหลัง ระยะฟรีพวงมาลัยน้อยลงเหมาะอย่างยิ่งกับการใช้งานในเมืองและนอกเมือง ระบบเบรกทำงานฉับไวขึ้นและทันใจ เมื่อเหยียบแป้นเบรกไป 25 % จะเริ่มหน่วงและหยุดเต็มที่เมื่อเหยียบแป้นไปถึง 35 % ด้วยหม้อลมเบรกขนาดใหญ่รวมถึงดิสก์เบรก 4 ล้อประกอบด้วย ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 320 มม.และมีดิสก์เบรกหลังให้เป็นมาตรฐาน

    Ford

    ทางด้าน Ford Everest Sport ถึงจะเป็นพลังเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร 170 แรงม้าแรงบิด 405 นิวตันเมตร นำพาร่างหนัก 2.2 ตันไปได้สบายๆ ไม่หวือหวาแบบเดียวกับ MU-X 1.9 Ultimate แต่การคลิกดาวน์รอรอบทำงานค่อนข้างฉับไว สมูท ทางด้านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดลูกใหม่จากเจนเดิมเทอร์โบเดี่ยว 180 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร เกียร์ 10 สปีด ที่ค่อนขอดว่าใช้งานไม่ค่อยสมูทเท่าไหร่แต่งานนี้ปรับดีขึ้นทำงานฉับไวขึ้น ช่วงล่างด้านหน้าแบบ อิสระปีกนกคู่ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง โช้คอัพแก๊ส 4 ต้น เน้นการนุ่มนวล หนึบไม่กระด้างเกาะถนนดีไม่แพ้กับ MU-X Ultimate 1.9 พวงมาลัยพาวเวอร์เป็นแบบไฟฟ้า EPS (Electronic Steering Program) น้ำหนักเบา คล่องตัวดี

    Safety & Feature

    ISUZU

    ระบบความปลอดภัยดูว่าทาง ISUZU MU-X 1.9 Ultimate จะมีภาษีกว่า Ford Everest Sport 2.0 ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS แบบมีกล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera พร้อมเรดาร์ 2 จุด และเซนเซอร์ 8 จุดรอบคัน ช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้ง ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อม Stop&Go, เตือนการชนด้านหน้าอัตโนมัติ FCW Front Forward Collision Warning, หยุดรถอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Brake), เตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDWS (Lane Departure Warning System), ช่วยเบรกฉุกเฉินขณะกำลังเลี้ยว TA (Turn Assist), ควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam), เบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน MCB (Multi-Collision Brake), ตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง MSL (Manual Speed Limiter)และ ตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด PMM (Pedal Misapplication Mitigation)

    พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก ABS พร้อม Brake Assist (BA) เสริมแรงเบรก EBD ระบบกระจายแรงเบรก และดิสก์เบรก 4 ล้อ ป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว Traction Control System (TCS) ควบคุมการทรงตัวขณะขับขี่ Electronic Stability Control (ESC) ควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย Trailer Sway Control (TSC) ลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก Brake Override System (BOS) ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA) ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC) เซนเซอร์ช่วยจอดรถยนต์ Parking Aid System รวม 8 จุด ทำงานร่วมกับ กล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะ Lane Guide เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน BSM (Blind Spot Monitoring) เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) โครงสร้างห้องโดยสาร Ultra-High Tensile ถุงลมนิรภัยมีทั้ง SRS Airbags 6 ตำแหน่งรอบคัน

    Ford

    ทางด้าน Ford Everest Sport ให้ออปชันความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / ม่านถุงลมนิรภัย / และถุงลมบริเวณหัวเข่า ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลัง กล้องมองหลังขณะถอยจอด ระบบป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD และดิสก์เบรก 4 ล้อ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM และควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ธรรมดา โดยไม่มีระบบตัวช่วยเหลือผู้ขับขี่ซึ่งน้อยกว่า ISUZU MU-X 1.9 Ultimate ที่ให้ครบกว่าและไม่ต้องเสียงตังค์เพิ่มอีก

    Price & Color

    ISUZU

    ISUZU MU-X Ultimate 1.9 มาพร้อมสีตัวรถทั้งหมด 6 สีทั้ง สีน้ำเงิน กลาเซียร์ ไมก้า (Glacier Blue Mica) สีขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite Pearl White) (เพิ่มเงิน 12,000 บาท) สีแดงเอทนา (Etna Red) สีดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica) สีเงินไอซ์เบิร์ก (Iceberg Silver) และสีเงินโบฮีเมียน เมทัลลิค (Bohemian Silver Metallic) พร้อม 1,494,000 บาท

    แต่ถ้าไม่ชอบความหรูไม่ขอบโครเมียมยังมีรุ่น Phantom Collection ตกแต่งสีดำทั้งล้ออัลลอย 20 นิ้ว สีดำ Gloss Black และภายในดำ และสีใหม่สีเทาโอเพค Islay Gray Opaque กับสีขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite Pearl White) (เพิ่มเงิน 12,000 บาท) ในราคา 1,506,000 บาท

    Ford

    ทางด้าน Ford Everest Sport 2.0 มาพร้อมราคาตัวรถ 1,484,000 บาท มาพร้อมตัวเลือกสีภายนอกมากถึง 6 สี ได้แก่ สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก, สีเทา เมทิออร์ เกรย์, สีดำ แอบโซลูท แบล็ก, สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล (เพิ่มเงิน 12,000 บาท), สีน้ำตาล เอควิน็อกซ์ บรอนซ์ และสีส้ม เซโดนา ออเรนจ์ (เพิ่มเงิน 12,000 บาท)

    ระบบเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ขั้นสูง แพ็คเกจ B โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากตัวรถ 58,000 บาท ทั้ง กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน, เตือนการชนด้านหน้า, ช่วยควบคุมรถหลังจากชน, ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง, ตรวจจับรถในจุดบอด และตรวจจับขณะออกจากช่องจอด, ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง, ช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ, เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ และสามารถอัพเกรดจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch จากขนาด 10.1 นิ้ว เป็น 12 นิ้ว

    Verdict

    ISUZU

    สองรถอเนกประสงค์ PPV ระดับไฮเอนด์ขับเคลื่อนสองล้อ ถึงอาจถูกหั่นออปชันไปบางรายการเพื่อทำราคาสมเหตุสมผล แต่ยังครบครันครบเครื่องทั้งหน้าตา ความภูมิฐาน สปอร์ตสีดำทั้งคัน สำหรับ Ford Everest Sport 2.0 แต่ทาง ISUZU MU-X 1.9 Ultimate มีความหล่อถึง 2 แบบ ทั้งแบบหรูและแบบสปอร์ต Phantom ถึงพลังดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 170 แรงม้าของ Everest Sport คลิ๊กดาวน์ราบรื่นไหล ช่วงล่างสมูท แต่ MU-X Ultimate 1.9 เน้นความคล่องตัวขับสบายช่วงล่างนุ่มแอบเด้งนิดๆ ความปลอดภัยที่ MU-X ให้มานั้นเหนือกว่าโดยไม่ต้องเสียตังค์เพิ่มเติมเหมือน Everest งานนี้คุณเองว่าจะชอบแบบไหนกับส่วนต่างหมื่นเดียวสามารถไปทดลองขับได้เลยที่โชว์รูมใกล้บ้านคุณ

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts