More

    Lamborghini Revuelto ซูเปอร์สปอร์ตพลังเสียบปลั๊กเริ่ม 47.49 ล้านบาท

    นับเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการเมื่อ Lamborghini เดินหน้าสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเปิดตัว Lamborghini Revuelto ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์

    Lamborghini

    โดยเปิดตัวแล้วที่เมืองไทยและยังเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีแห่งค่ายกระทิงดุอีกด้วย สำหรับ Lamborghini Revuelto ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อสร้างนิยามใหม่ให้กับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด รวมถึงการกำหนดศัพท์ใหม่ อย่าง HPEV (High Performance Electrified Vehicle)  สื่อถึงการเป็นรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูงแทนคำว่า PHEV หรือ Plug-in Hybrid Electric Vehicle ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

    ชื่อ ‘Reveulto’ มาจากสุดยอดวัวกระทิงในปี 1880 ที่มีความพยศดุดันจนหนีออกนอกสนามแข่งขันไปถึง 8 ครั้ง เปรียบเสมือนรถยนต์รุ่นนี้ที่พร้อมพุ่งทะยานอวดโฉมเผยความร้อนแรงบนท้องถนนและสะกดทุกสายตาให้หันมาจ้องมอง และคำว่า ‘Reveulto’ ยังมีอีกหนึ่งความหมายที่สำคัญคือการผสมผสานหรือการหลอมรวม (Mixed up) ระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกันอีกด้วย

    โครงสร้างใหม่ล่าสุด “Monofuselage” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวถัง Monocoque ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน และยังเป็นรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นแรกที่ใช้โครงสร้างส่วนหน้าเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ 100% ทำให้มีน้ำหนักโครงแชสซีเบาลง 10% โครงส่วนหน้าเบาลง 20% และความแข็งแรงและทนต่อแรงบิดเพิ่มขึ้นไปที่ 40,000 Nm/° ซึ่งสูงขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador การันตีสมรรถนะความเป็นเลิศด้านพลศาสตร์ที่ดีที่สุดในคลาส

    Lamborghini

    ดีไซน์ภายนอกมาพร้อมปรัชญา ‘Feel like a pilot’แรงบันดาลใจจากอุตสาหกรรมการบินด้วยกลิ่นอายของต้นแบบรถยนต์รุ่น Countach ในปี 1971 แต่มาในรูปโฉมดีไซน์ใหม่ที่เสมือนยานอวกาศ จากแรงบันดาลใจของอุตสาหกรรมการบิน โดยสื่อสารผ่านเส้นสายเฉพาะตัวที่พาดผ่านจากด้านหน้าโอบล้อมห้องโดยสารและเครื่องยนต์ และลู่ลงสู่ชุดท่อไอเสียทรงหกเหลี่ยมส่วนท้ายอย่างสง่างาม

    ฝากระโปรงหน้าดุดันน่าเกรงขามด้วยรูปทรงแบบ Shark-nose ที่บ่งบอกถึงสัมผัสแห่งพลังและความเร็ว ซึ่งสอดรับกันได้อย่างลงตัวกับดีไซน์รูปตัว ‘Y’ ที่แฝงอยู่ในทุกส่วนประกอบทั้งภายในและภายนอก สะท้อนถึงปรัชญา ‘Feel like a pilot’ ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายด้วยประตูปีกนกที่เปิดในแนวตั้ง (Scissor Doors) ที่ได้สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัวพร้อมสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่พบเห็น

    พร้อมล้อหน้าขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง 265/35 ZR20 จากยาง Potenza Sport Runflat (ล้อหน้า 21 นิ้วพร้อมขนาดยาง 265/30 ZR21 – Runflat ออปชันเสริม) และล้อหลังขนาด 21 นิ้วพร้อมยาง 345/30 ZR21 – Potenza Sport Runflat (ล้อกหลัง 22 นิ้วพร้อมยางขนาด 355/25 ZR22 – Runflat ออปชันเสริม)

    Lamborghini

    ภายในมาพร้อมความล้ำหน้าด้านนวัตกรรมด้วยการนำเสนออินเตอร์เฟซ Human Machine Interface (HMI) ที่ออกแบบใหม่ในทุกรายละเอียด ประกอบด้วยจอแสดงผล 3 ตำแหน่ง ที่ถูกควบคุมโดย “สมองกล” ตัวเดียว ซึ่งใช้ดีไซน์อินเตอร์เฟซแบบเดียวกันทุกจอ ทำให้ผู้ใช้ไม่เกิดการสับสน รวมถึงยังมีการติดตั้งโปรแกรมผู้ช่วย Amazon Alexa ซึ่งจะช่วยให้นักขับสามารถเข้าถึงฟังก์ชั่นการควบคุมตัวรถได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการปรับอุณหภูมิ การนำทาง และสื่อต่างๆ ผ่านการสั่งงานด้วยเสียง โดยโปรแกรม Alexa ยังผสานฟังก์ชั่น What3Words ซึ่งทำงานร่วมกับระบบนำทางที่ติดตั้งมากับตัวรถ ทำให้สามารถขับขี่ไปได้ทุกที่บนโลก แม้สถานที่นั้นจะไม่มีข้อมูลที่อยู่ที่ชัดเจนก็ตาม

    ด้านความปลอดภัยติดตั้งระบบโทรศัพท์ฉุกเฉินและบริการช่วยเหลือฉุกเฉินไว้กับตัวรถ ซึ่งจะทำงานทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โดยระบบติดตามรถยนต์ Lamborghini Connect ยังสามารถตรวจจับการใช้งานรถยนต์ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งไม่เพียงแจ้งไปยังเจ้าของรถ แต่ยังติดต่อไปยังศูนย์ความปลอดภัยที่เปิดรับสัญญาณตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในการติดตามรถยนต์กลับคืน

    นอกจากนี้แอปพลิเคชัน Lamborghini Unica บนสมาร์ตโฟน ยังทำให้นักขับสามารถตรวจสอบสถานะต่างๆ ของรถได้ตลอดเวลา ทั้งระดับเชื้อเพลิง การชาร์จแบตเตอรี่ ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ตำแหน่งการจอดที่แน่นอน หรือแม้กระทั่งการควบคุมรถยนต์ระยะไกล เช่น การล็อกและปลดล็อกประตู การเปิดเสียงแตรหรือเปิดแสงไฟ โดยบางฟังก์ชันยังสามารถสั่งการได้ผ่านทาง Apple Watch อีกด้วย

    Lamborghini

    Lamborghini Revuelto คือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดขับเคลื่อนล้อหลังสมรรถนะสูงจากเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศขนาด 6.5 ลิตรบริเวณกลางตัวรถโดยให้กำลังมากถึง 826 แรงม้าที่ 9,250 รอบ/นาที แรงบิด 725 นิวตันเมตรที่ 6,750 รอบ/นาทีในภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวโดยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรกจะอยู่ที่เพลาขับคู่หน้าให้กำลัง 300 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที และอีก 1 ตัวจะติดตั้งอยู่กับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีดรุ่นใหม่ให้กำลัง 150 แรงม้าที่ 10,000 รอบ/นาที ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชุดเกียร์ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ โดยเป็นการติดตั้งแนวขวางอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์สันดาป V12 เป็นครั้งแรก

    ติดตั้งชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนกำลังสูงรวมความจุ 3.8 kWh (4,500 Wh/km) ไว้บริเวณท่อแกนกลาง เมื่อประจุลดลงเหลือศูนย์ สามารถชาร์จใหม่ได้ผ่านการใช้ไฟฟ้ากระแสสลับและแบบชาร์จในบ้าน AC ที่มีกระแสสูงสุด 7 kW โดยชาร์จเต็มในเวลาเพียง 30 นาที นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จไฟจากการเบรกของล้อหน้าที่ช่วยประจุไฟได้ หรือชาร์จโดยตรงจากเครื่องยนต์ V12 ในเวลาเพียง 6 นาที และชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งไลกสุด 10 กม. (WLTP)

    อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับระบบไฮบริด คือ 3 โหมดการขับขี่รูปแบบใหม่ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดเดิมอย่าง Città (City), Strada, Sport และ Corsa โดยโหมด Città ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ประจำวันในย่านกลางเมืองด้วยอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ ซึ่งหากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่จำเป็นต้องได้รับการชาร์จไฟ แต่พื้นที่แถบนั้นไม่มีสถานีชาร์จ เครื่องยนต์ V12 จะเข้ามาทำงานเพื่อชาร์จไฟจนเต็ม (เข้าสู่โหมด Recharge) ในเวลาไม่กี่นาที ในขณะที่โหมด Strada เหมาะสำหรับการขับขี่ประจำวันที่เน้นสัมผัสแบบไดนามิกและการวิ่งทางไกล

    โดยเครื่องยนต์ V12 จะทำงานตลอดเวลาเพื่อทำการชาร์จไฟแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเสริมการขับขี่ในโหมด Recharge ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือโหมด Corsa ที่มอบพลังอันเต็มเปี่ยมทั้งในแง่ประสิทธิภาพการขับขี่และพลังเสียง ด้วยกำลังเครื่องสูงสุด 1,015 แรงม้า แรงบิด 1,075 นิวตันเมตร สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม. 2.5 วินาทีและอัตราเร่ง 0-200 กม. ตำกว่า 7  วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. โดยการควบคุมระบบไฮบริดจะทำการรีดศักยภาพของเพลาไฟฟ้า (e-axle) ออกมาทั้งหมดเพื่อสร้างประสบการณ์ขับขี่ระดับ Ultra-sport ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

    Lamborghini

    Lamborghini

    เพื่อเป็นการสะท้อนตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลมอบทางเลือกในการปรับแต่งรูปลักษณ์ผ่านงานทำสีของ Lamborghini Revuelto ที่มีให้เลือกมากถึง 400 เฉดสี ร่วมกับออปชันการปรับแต่งอีกมากมายเพื่อรังสรรค์ความฝันความต้องการของลูกค้าแต่ละท่านได้อย่างตรงใจมากที่สุด โดยจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 47,490,000 บาทและเริ่มส่งมอบประมาณกลางปีหน้า

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts