More

    Nissan X-Trail e-Power เอสยูวีเปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าบุกตลาดยุโรป

    พึ่งจะเปิดตัวที่ญี่ปุ่นได้ไม่นานจนมียอดสั่งซื้อมากว่า 12,000 คันและกลายเป็นรถเอสยูวียอดนิยมสำหรับ Nissan X-Trail e-Power

    Nissan

    ล่าสุดเตรียมโกอินเตอร์ไปยังกลุ่มประเทศยุโรปกับ Nissan X-Trail เจนเนอเรชันที่สี่ทั้งแบบ Mild Hybrid และ e-Power หน้าตาไม่ต่างจากสเปกญี่ปุ่นแต่ปรับบางอย่างให้ถูกจริตชาวยุโรปตั้งแต่ล้ออัลลอยลายทูโทนขนาดใหญ่สุด 20 นิ้วลาย Diamond Cut พร้อมยาง 255/45 R20 กับขนาด 19 นิ้ว Diamond Cut พร้อมยาง 235/55R19 และขนาด 18 นิ้ว 5 ก้านคู่ทูโทนและลาย Diamond Cut พร้อมยางขนาด 235/60R18 นอกนั้นเหมือนกันตั้งแต่ กระจังหน้ารูปตัววีขนาดใหญ่สีดำเข้ม ไฟหน้า multi-level LED ดีไซน์เรียวอยู่ด้านล่างพร้อมไฟ Adaptive LED ให้เลือก ขยับขึ้นไปเป็นไฟ DRL อยู่บนสุดและไฟเลี้ยวอยู่ในชุดเดียวกัน กันชนหน้าขนาดใหญ่ติดตั้งไฟตัดหมอกหน้า LED ไฟท้าย LED สไตล์บูมเมอแรง ประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติพร้อมระบบแฮนด์ฟรี และราวหลังคาสีเงิน เสริมหล่อกับเสาอากาศครีบฉลาม

    Nissan

    ภายในหรูคล้ายสเปกญี่ปุ่นด้วยแผงคอนโซลหน้าแนวลักชัวรี่สีทูโทนพร้อมมาตรวัดดิจิตอล Full LCD ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ตั้งแต่ขนาด 12.3 นิ้ว NissanConnect รองรับ Apple CarPlay Android Auto พร้อมลำโพงคุณภาพ 9 จุด จาก Bose จอแสดงข้อมูลเหนือคอนโซลหน้าสี head-up display 10.8 นิ้ว เครื่องปรับอากาศแยกโซน 3 Zone ซ้าย-ขวา และด้านหลัง คอนโซลเกียร์คล้ายกับ Nissan Kicks e-Power สเปกไทยในรุ่น e-Power พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ Nappa สีแทนกับเบาะกึ่งหนังแท้สีดำมาพร้อมกันเหงื่อ กันความชื้นซึมไปในเบาะแบบ Tailor Fit™ และ Cell-Cloth® และยังมีเบาะผ้าให้เลือก มีทั้งแบบ 2 ตอน 5 ที่นั่งและ 3 ตอน 7 ที่นั่ง โดยที่นั่งตอน 2 สามารถเลื่อนและพับเก็บแบบ 40:20:40 ได้ ส่วนเบาะตอน 3 พับได้แบบ 50:50  และมีพื้นที่วางของตอนท้าย 585 ลิตร ในกรณีไม่พับเบาะตอนที่ 3 ระบบชาร์จมือถือไร้สาย wireless charging ม่านบังแดดประตูหลังซ้าย-ขวา และช่องเสียบปลั๊ก 100V AC power supply (1500W) สามารถเสียบปลั๊กใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าได้

    ขุมพลังสำหรับตลาดยุโรปเหมือนกันกับญี่ปุ่นใช้ขุมพลังใหม่ e-Power Turbo เจเนอเรชันที่ 2 ขนาด 1.5 ลิตร เบนซิน VC-Turbo 3 สูบ KR15DDT ให้กำลังถึง 144 แรงม้าที่ 4,400-5,000 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 2,400-4,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ารุ่น BM46 AC3 Synchronous Motor ให้พลังรวมเป็น 204 แรงม้าที่ 4,600 รอบ/นาที แรงบิด 330 นิวตันเมตรที่ 2,400-4,400 รอบ/นาทีในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมโหมดการขับขี่ทั้งโหมด Sport, Snow, Auto และ ECO

    Nissan

    ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ e-4ORCE พื้นฐานเครื่องยนต์ แรงม้า แรงบิด เท่ากันแต่ว่ามีการปรับในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า BM46 เป็น 204 แรงม้าที่ 4,501-7,422 รอบ/นาที แรงบิด 330 นิวตันเมตรที่ 0-3,505 รอบ/นาที และจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง MM48 AC3 Synchronous Motor ให้พลัง 136 แรงม้าที่ 4,897-9,504 รอบ/นาที แรงบิด 195 นิวตันเมตรที่ 0-4,897 รอบ/นาที ให้พลังรวมมากขึ้นเป็น 213 แรงม้าที่ 4,600 รอบ/นาที เพิ่มแรงบิดเป็น 525 นิวตันเมตรที่ 2,400-4,400 รอบ/นาที พร้อมโหมดการขับขี่ 5 โหมด ทั้ง Sport, Off-Road, Snow, Auto และ ECO

    ทุกขนาดความแรงจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single Speed Gear Reduction พร้อมอินเวอร์เตอร์ และ แบตเตอรี่ ทำงานร่วมกันเน้นให้มอเตอร์ขับเคลื่อนและเครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟเท่านั้น ติดตั้งระบบ e-Pedal ซึ่งใช้คันเร่งในการกดเร่งแซงและชะลอความเร็วในชุดเดียวกัน โดยชุด e-Pedal สามารถชะลอหยุดจนถึงจุดหยุดนิ่ง และ Pro Pilot ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ e-4ORCE เทคโนโลยีเดียวกันกับ Nissan Ariya ควบคุมได้สำหรับล้อทั้งสี่ ให้ความสมดุลในประสิทธิภาพที่ทรงพลังพร้อมรองรับการขับขี่ในทุกสภาพอากาศ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ทำให้การขับขี่มีความสมดุลและมั่นคงด้วยพลังระดับรถสปอร์ตในพริบตา

    นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ MHEV แบบ VCR Turbo 1.5 ลิตร 163 แรงม้าที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 2,800-3,600 รอบ/นาที พร้อม Mild Hybrid ขนาด 12V เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ให้การหยุดเดินเบาที่เพิ่มขึ้นและการเคลื่อนตัว ขับเคลื่อนสองล้อหน้าจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อมโหมดการขับขี่ทั้งโหมด Sport, Snow, Auto และ ECO

    Nissan

    Nissan

    Nissan X-Trail เปิดขายแล้วที่ยุโรปช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป ประเดิมตลาดที่ประเทศอังกฤษเปิดรับจองเดือนกันยายนและส่งมอบเดือนตุลาคมในราคาเริ่มต้น £32,030- £48,155 หรือราว 1,350,000-2,030,000 บาท (ไม่รวมภาษีนำเข้าของไทย) มีทั้งหมด เกรดตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น Visia, Acenta Premium, N-Connecta, Tekna และ Tekna+ ส่วนออสเตรเลียมาจริงต้นปีหน้า

    ที่มา Carscoops, Carexpert

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts