เป็นที่นิยมในเมืองไทยมียอดขายสูงสุดเป็นอันดับต้นๆสำหรับ BYD แบรนด์รถอีวีที่ไปได้สวยจาก BYD ATTO3, BYD Dolphin และ BYD SEAL
ล่าสุดสองรุ่นดังในตระกูล Ocean อย่าง BYD SEAL และ BYD Dolphin สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าไทยและเทศกับการทดสอบการชนสูงสุดระดับ 5 ดาว จาก ANCAP หรือ Australasian New Car Assessment Program โดยจำลองการชนในหลากหลายสถานการณ์ เช่น การทดสอบชนแบบประสานงา การชนจากด้านข้าง และการชนจากฝั่งตรงข้ามห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังจำลองสถานการณ์การชนแบบที่มีผู้โดยสารอยู่ภายในรถเพื่อวิเคราะห์ความเสียหายและการซ่อมแซมชิ้นส่วนขนาดเล็ก การปกป้องผู้โดยสารในทุกช่วงวัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงการชนด้วยความเร็วต่ำที่อาจพบบริเวณลานจอดรถ
เริ่มที่ BYD Dolphin โดยคะแนนสูงสุด แบ่งเป็น การป้องกันผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (ADULT OCCUPANT PROTECTION) ได้คะแนนสูงถึง 89% การป้องกันผู้โดยสารที่เป็นเด็ก (CHILD OCCUPANT PROTECTION) ได้คะแนนสูงถึง 86% ระบบช่วยป้องกันความปลอดภัย (SAFETY ASSIST) ได้คะแนนสูงถึง 77% และตรวจจับและป้องกันการชนคนเดินถนน (VULNERABLE ROAD USER PROTECTION) ได้คะแนนสูงถึง 85%
BYD SEAL โดยคะแนนสูงสุด แบ่งเป็น การป้องกันผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ หรือ ADULT OCCUPANT PROTECTION ได้คะแนนสูงถึง 89% การป้องกันผู้โดยสารที่เป็นเด็กหรือ CHILD OCCUPANT PROTECTION ได้คะแนนสูงถึง 87% ระบบช่วยป้องกันความปลอดภัย หรือ SAFETY ASSIST ได้คะแนนสูงถึง 75% และด้านระบบตรวจจับและป้องกันการชนคนเดินถนน หรือ VULNERABLE ROAD USER PROTECTION ได้คะแนนสูงถึง 82%
BYD SEAL พกความปลอดภัยเต็มขั้นให้การขับเคลื่อนหายห่วงด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ที่มาอย่างครบครันออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงได้แก่ ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) Stop and Go ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW) ช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKS) ช่วยเตือนการชนด้านหน้าและหลัง (PCW, RCW) ช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) ช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA, RCTB) ช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP) ช่วยควบคุมฉุกเฉินให้รถอยู่ในช่องทางเดินรถ (ELKA) ช่วยเตือนการชนเมื่อเปลี่ยนช่องทางเดินรถ (LCW) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (Follow Me Home)
พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้งถุงลมนิรภัย 9 จุดรอบคัน ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX เสริมแรงเบรกอัจฉริยะ เบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC) ป้องกันการลื่นไถล (TCS) ควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD) ควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC) และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา กับขุมพลังแรงถึง 3 ทางเลือกตั้งแต่
ขุมพลังอีวีมีให้เลือกหลากหลาย 3 ทางเลือกตั้งแต่ รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังสองรุ่นเริ่มที่รุ่นเริ่มต้น Dynamic RWD ด้วยแบตเตอรี่ที่มีความจุ 61.44 kWh วิ่งได้ 510 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC กำลังสูงสุด 204 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 7.5 วินาที ขยับมาที่รุ่น Premium RWD พร้อมความจุแบตเตอรี่ 82.56 kWh กำลังสูงสุด 313 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 650 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 5.9 วินาที
รุ่นท็อปสุด AWD Performance มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความจุแบตเตอรี่ขนาด 82.56 kWh กำลังรวมสูงสุด 530 แรงม้า กับ แรงบิดสูงสุดระดับ 670 นิวตันเมตร โดยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ากำลัง 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 580 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC แถมให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.8 วินาที
ทั้งสามรุ่นรองรับการชาร์จเร็ว (DC fast charging แบบ CCS2) 30-80% ภายในเวลา 30 นาทีรองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 110 kW ในรุ่น Dynamic RWD ส่วนรุ่น Premium RWD และ AWD Performance รองรับการชาร์จเร็ว 30-80% ภายในเวลา 26 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 150 kW และชาร์จช้า AC แบบ Type 2 รองรับกำลังไฟสูงสุด 7 kW ทุกรุ่น ยังมีเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้ทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้ นุ่มนวลถึงใจด้วยช่วงล่างอิสระสี่ล้อและระบบการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking)
BYD Dolphin ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวแบบ permanent magnet synchronous motor มีความจุแบตเตอรี่ 44.9 kWh แรงสุด 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 340 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) ความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 12.3 วินาที การชาร์จผ่านไฟ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 6.6 kW 0-100% ภายใน 7.5 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จผ่านไฟ DC รองรับการชาร์จสูงสุด 60 kW ในรูปแบบ Fast Charging ชาร์จจาก 30-80% ใช้เวลาเพียง 30 นาทีในรุ่น Dynamic อีกรุ่นกับรุ่นท็อปสุด Premium ใช้ความจุแบตใหญ่ขึ้นเป็น 60.48 kWh ซึ่งความจุแบตเทียบเท่ากับ BYD ATTO 3 แรงสุด 204 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 7 วินาที วิ่งไกลสุด 427 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จผ่านไฟ DC รองรับการชาร์จสูงสุด 80 kW ในรูปแบบ Fast Charging
มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed พร้อมโหมดการขับขี่สามโหมดทั้ง Eco, Standard และ Sport พร้อมระบบดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking) ใช้หัวชาร์จแบบ Type 2 / CCS Combo ยังมีระบบเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 2000w ทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้ พร้อมช่วงล่างหลังแบบทอร์ชันบีมในรุ่น Standard Range และ อิสระสี่ล้อในรุ่น Extended Range
ขับเคลื่อนโดยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ระบบความปลอดภัยที่มาอย่างครบครัน ออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยง ได้แก่ ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) Stop and go ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW) ช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKS) ช่วยเตือนการชนด้านหน้าและหลัง (PCW, RCW)
ช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) ช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA, RCTB) ช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP) ช่วยควบคุมฉุกเฉินให้รถอยู่ในช่องทางเดินรถ (ELKA) ช่วยเตือนการชนเมื่อเปลี่ยนช่องทางเดินรถ (LCW) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (Follow Me Home) พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัยรอบคัน 7 จุด, ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS), จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX, เสริมแรงเบรกอัจฉริยะ, เบรกป้องกันล้อล็อก (ABS), ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC), ป้องกันการลื่นไถล (TCS), ควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD) กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา
ที่มา Whichcar
