หลังจากเปิดตัวที่ญี่ปุ่นและบางประเทศได้ไม่นานสำหรับ Mazda MX-5 RF สปอร์ตโรสเตอร์หลังคาแข็งที่โดนใจขาซิ่งมายาวนานล่าสุดเปิดตัวแล้วที่เมืองไทย
Mazda MX-5 RF รหัส ND เวอร์ชันเปิดประทุนหลังคาแข็งหรือ RF hard-top ปรับใหม่เริ่มที่ชุดไฟหน้าใหม่แบบ Bi-Beam LED ที่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยว และไฟส่องสว่างเวลากลางวันรวมอยู่ในโคมดียวกัน จากเดิมไฟส่องสว่างเวลากลางวันจะอยู่ที่ข้างๆกันชนหน้าซ้าย-ขวา ชุดไฟท้าย LED ออกแบบใหม่รวมทั้งไฟเลี้ยวไฟเบรกและไฟถอยหลังในโคมเดียวที่ดูหรู มองชัดเจนในเวลากลางคืน ชุดรีเฟล็กเตอร์สะท้อนแสงบริเวณกันชนหลังแบบใหม่
หลังคาแข็ง RF Retractable Fastback ที่ด้านบนหลังคาถอดได้และส่วนด้านหลังสามารถพับเก็บได้ ในเวลา 13 วินาที กับความเร็วสูงสุด 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ล้ออัลลอยลายใหม่ 8 ก้านคู่สีดำเมทาลิค ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 205/45 R17
มิติตัวรถเท่าเดิมตั้งแต่ความยาว 3,915 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,730 มิลลิเมตร ความสูง 1,235 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,310 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร และน้ำหนักรถ 961-1,080 กิโลกรัม
ภายในห้องโดยสารก็ได้รับการพัฒนาให้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยหน้าจอ Center Display ใหม่ ขนาด 8.8 นิ้ว แทนขนาดเดิม 7 นิ้ว ที่รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android AutoTM พร้อมปุ่มควบคุม Center Commander แบบใหม่ รวมถึงกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติแบบไร้กรอบรูปทรงใหม่ ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็น
เพิ่มการตกแต่งด้วยคอนโซลกลางหุ้มหนัง มอบสัมผัสสปอร์ต หรูหรา พรีเมี่ยม รวมถึงหน้าปัดวัดความเร็วรอบดีไซน์ใหม่ พร้อมปุ่มควบคุมบริเวณด้านข้าง และระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพงถึง 9 ตำแหน่ง ที่มอบสุนทรียภาพให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง
ขุมพลังแรงเช่นเดิมกับเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร รหัส PE-VPR (RS) 184 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิด 205 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด SKYACTIV-MT สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 6.8 วินาที โดยให้ความเร็วสูงสุดถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive 6 สปีด พร้อม Paddle Shift ขับเคลื่อนล้อหลัง
ครั้งแรกในรุ่นเกียรํธรรมดาด้วยระบบปิดการควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC-Track (Dynamic Stability Control-Track) แบบไม่พึ่งตัวช่วย เพื่อให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้เหมือนกับการขับรถแข่งในสนามแข่ง โดยระบบจะยอมให้เกิด Understeer หรือ Oversteer เพียงเล็กน้อย และระบบจะเข้ามาช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้จนเกิดเหตุการณ์รถหมุน เพื่อช่วยควบคุมรถเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
นอกจากนี้ยังทำงานประสานกันอย่างสมบูรณ์กับเฟืองท้าย LSD แบบ Asymmetric (Asymmetric Limited Slip Differential: Asymmetric LSD) เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพในการเลี้ยวของรถ โดยควบคุมแรงที่เกิดขึ้นระหว่างล้อหลังและพื้นถนน ด้วยการควบคุมความเร็วของล้อที่เหมาะสมระหว่างล้อหลังทั้งซ้ายและขวาจากตัวเฟืองท้าย LSD ในระหว่างเร่งความเร็วและชะลอความเร็ว
จึงช่วยให้รถมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเสริมแรงเพื่อให้รถไม่ลื่นไถลในระหว่างลดความเร็วเมื่อขับเข้าโค้ง ซึ่งการปรับปรุงทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เครื่องยนต์ ช่วงล่าง และยาง ในครั้งนี้ จึงทำให้รถรุ่นนี้เป็นรถที่ขับขี่ได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น และให้การเข้าโค้งคมชัดยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยสร้างความสะดวกสบายในเส้นทางการขับขี่ที่คดเคี้ยว หรือแม้จะขับในสนามแข่งก็ตาม
พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าปรับเซ็ตน้ำหนักใหม่ให้ความรู้สึกตอบสนองรวดเร็ว พร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการทรงตัวขณะเข้าโค้ง KPC (Kinemetic Posture Control) ช่วยให้รถทำงานผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับตัวรถ ช่วงล่างด้านหลังถูกออกแบบเพื่อช่วยป้องกันการยกของตัวรถ (Anti-Lift) จะทำการควบคุมแรงเบรกที่ล้อหลังฝั่งด้านในโค้ง ในขณะที่รถเข้าโค้งเพื่อลดอาการโคลงของตัวรถ ทำให้รถมีเสถียรภาพและเข้าโค้งได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
พร้อมความปลอดภัยครบครันทั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างและด้านหน้า 2 คู่ ระบบสัญญานเตือนกันขโมย เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด เพื่อมอบความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ไปตลอดเส้นทาง
ความปลอดภัยสุดล้ำ i-ACTIVSENSE เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงเมื่อเผชิญเหตุไม่คาดคิดบนท้องถนน ที่มีมาเพิ่มเติมอีกหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติหลังการชน (Secondary Collision Reduction) เตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ แบบ Advance (Advanced SBS) ช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (SBS-RC) และยังเพิ่มกล้องมองหลังเพื่อช่วยมอบความปลอดภัยสูงสุด
ควบคู่กับระบบความปลอดภัยสุดล้ำอื่นๆ ได้แก่ เตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ แบบ Advance (Advanced SBS: Advanced Smart Brake Support) ช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (SBS-RC: Smart Brake Support: Rear Crossing) ช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติหลังการชน (Secondary Collision Reduction) เฟืองท้าย LSD แบบ Asymmetric (Asymmetric Limited Slip Differential: Asymmetric LSD)
ควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control) รุ่นเกียร์อัตโนมัติเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring) เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
เตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System) ช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse) ไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps) ช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
Mazda MX-5 RF MY2024 มีให้เลือกทั้งหมด 7 สีได้แก่ ใหม่! สีเทา แอโร เกรย์ (Aero Gray) สีเทา แมชชีน เกรย์ (Machine Gray) สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal) สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl) สีดำ เจ็ท แบล็ก (Jet Black) สีน้ำเงิน ดีพ คริสตัล บลู (Deep Crystal Blue) และ สีน้ำตาล เซอร์คอน แซนด์ (Zircon Sand) ตัดสีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ (Platinum Quartz) ออกไปในราคาใหม่เพิ่มจากเดิม 117,000 บาท ดังนี้
- 2.0 RF 6MT เกียร์ธรรมดา ราคา 3,029,000 บาท
- 2.0 RF เกียร์อัตโนมัติ ราคา 3,029,000 บาท