หลังปล่อยให้เพื่อนร่วมชาติอย่าง BMW X7 ปรับโฉมไปตั้งแต่ปีกลายและไทยได้ขายเป็นที่เรียบร้อยทำให้ Mercedes-Benz ทนเห็นคู่แข่งขายดีวันดีคืนไม่ได้
จึงรีบเปิดตัวรุ่นปรับโฉมหรือ Facelift ครั้งแรกในรอบ 4 ปี ในร่างเจนที่ 3 รหัส X167 สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นเริ่มที่กระจังหน้าจากเดิมแนวนอน 2 ชั้น กลายเป็น 4 ชั้น ติดตราโลโก้สามแฉกขนาดใหญ่ แบบสีเงินเงา พร้อมไฟหน้า MULTIBEAM LED ทำงานคู่กับไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ประกอบด้วยหลอดไฟ LED จำนวน 112 หลอดต่อโคมไฟหน้า 1 โคม ปรับความเข้มของแสง และความยาวของลำแสงได้อย่างเป็นอิสระ รับกับกันชนหน้าออกแบบใหม่เพิ่มขอบสีดำมันวาวเพิ่มเสน่ห์มากขึ้น
ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาดีไซน์สปอร์ตลายใหม่ที่มีตั้งแต่ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 275/55R19 ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 275/50R20 ขนาด 21 นิ้ว พร้อมยางหน้า 275/45 R21และยางหลัง 315/40 R21 ขนาด 22 นิ้ว พร้อมยางหน้า 285/45R 22 และยางหลัง 325/40R 22 และใหญ่สุด 23 นิ้ว พร้อมยางหน้า 285/40R23 และยาหลัง 325/35R23
มีบันไดสำหรับเข้าและออกห้องโดยสารแบบอะลูมิเนียมที่มาพร้อมปุ่มยางกันลื่น หลังคา พาโนรามิคซันรูฟ (Panoramic sliding sunroof) ที่เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และไฟท้าย LED พร้อมกันชนหลังทรงเข้มปรับลุคใหม่ด้วยลิ้นสปอยเลอร์หลังตกแต่งสีดำเข้ม และท่อไอเสียคู่สองฝั่งตกแต่งด้วยขอบโครเมียม
ภายในปรับในส่วนระบบความบันเทิงด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่คู่แบบ Digital widescreen cockpit จำนวน 2 จอต่อเนื่องกัน12.3 นิ้ว MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ปรับในส่วนกราฟฟิกในจอสัมผัสใหม่พร้อมภาพแสดงโหมดการขับขี่ใหม่ทั้งโหมเ Classic Sport และ Discreet โดยสามารถเปลี่ยนสีจอได้ 7 สี รวมถึงการแสดงผลในโหมด Off Road มีภาพจำลองมุมเอียงของตัวรถ เข็มทิศ และภาพจากมุมกล้องใต้กันชนหน้า เพื่อการมองรถในยามลุยได้ชัดเจน
ระบบแผนที่นำทาง (Hard Disc Navigation) สามารถป้อนข้อมูลด้วย การสัมผัส touch screen, touch pad หรือระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) ลำโพงเสียงรอบทิศทาง Burmester® และบริการ ‘Mercedes me connect’ พร้อมมาตรวัดดิจิทัล พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านยกมาจาก Mercedes-Benz S-Class ทั้งแบบท้ายตัด และวงพวงมาลัยปกติ รวมถึงเบาะนั่งหนังแท้สีใหม่ทั้งสีเบจ Catalana Beige และสีน้ำตาล Bahia Brown ตกแต่งแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูด้วยลายไม้ High-Gloss Brown Linden Wood และเคลือบด้วยสีเข้มเคลือบเงา
พร้อมความสบายแบบ 7 ที่นั่ง เบาะคู่หน้าและแถวที่ 2 ปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำและเลื่อนปรับเบาะให้ถอยหลัง ไปได้อีก 10 ซม. เพิ่มพื้นที่สำหรับวางขา และพนักพิงสามารถปรับเอนได้มากขึ้นในยังมาพร้อม EASY-ENTRY เข้าสู่ตำแหน่งตอนที่ 3 ง่ายขึ้นโดยพนักพิงของที่นั่งแถวที่ 2 จะถูกพับขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า เบาะที่นั่งแถวที่ 3 เป็นที่นั่งแบบเต็มตัว (full size) รองรับผู้โดยสารที่มีส่วนสูงได้ถึง 194 ซม. เบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 พับเก็บหรือปรับแต่งได้อย่างอิสระ เพิ่มความจุสำหรับเก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตรในกรณีพับทั้งเบาะตอนที่ 2 และ ตอนที่3 แบบพื้นเรียบ
เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทางไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี และระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติภายในห้องโดยสาร THEMOTRONIC 5 โซน จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) จอสัมผัสสำหรับผู้โดยสารตอน 2 จำนวน 2 จอ ขนาด 11.6 นิ้ว พร้อมหูฟัง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ชุดแบบ Wireless เสริมการทำงานของระบบมัลติมีเดีย MBUX
สำหรับรุ่นอื่นๆก็มีการปรับหน้าตาภายนอกภายในเช่นกันโดยยึดหน้าตารุ่นปกติมาปรับตามสไตล์บุคลิกที่ต่างกันเริ่มที่รุ่น GLS580 4MATIC มาพร้อมกับแพ็คเกจเสริม Off-Road Engineering เพิ่มแผ่นกันกระแทกด้านหน้าและเพิ่มความสูงจากพื้นอีก 31 มม. ด้านรุ่นหรูอย่าง Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC เพิ่มกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED มีไฟส่องใต้พื้นแบบตราโลโก้ Maybach แบบเคลื่อนไหวพร้อมไฟ Ambient Light รอบตัวรถ กับการตกแต่งสไตล์ Maybach โครเมียมรอบคัน ล้อ forged ขนาด 23 นิ้ว ใหม่ และเบานั่งหนังแท้ Diamond Cut ลายเพชรแบบเจาะรู
และ Mercedes-AMG GLS63 4MATIC+ มีการปรับแต่งเล็กน้อยเช่นกัน เพิ่มกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED มีไฟส่องใต้พื้นแบบตราโลโก้ AMG แบบเคลื่อนไหว อัปเดตซอฟต์แวร์พัฒนาใหม่สำหรับระบบช่วยลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำและช่วงล่างแบบถุงลมและกระจังหน้าสไตล์ AMG 15 ซี่แนวตั้ง ภายในมีตัวเลือกเบาะหนัง Bahia Brown/Black และ Macchiato Beige/Black Nappa ใหม่ มาพร้อมกับหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา เบาะนั่งคู่หน้าแบบปรับความร้อนและระบายอากาศได้ และไฟหน้าแบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
ขุมพลังมีทั้งเบนซินและดีเซลเทอร์โบ แบบ Mild Hybrid ที่มี EQ Boost สามารถเสริมกำลังเครื่องยนต์ได้ รองรับการทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ รวมถึงสามารถ สร้างและจ่ายไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าของรถที่ใช้แรงดันไฟฟ้า 48 โวลต์ได้ โดยเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษ
ตั้งแต่รุ่น GLS 580 4MATIC เป็นเบนซินเทอร์โบคู่ 4.0 ลิตร V8 M176 แรงสุด 517 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 730 นิวตันเมตรที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที พร้อม EQ Boost เสริมกำลังเครื่องอีก 22 แรงม้า แรงบิดเสริมอีก 250 นิวตันเมตร ส่วนรุ่น GLS450 4MATIC เป็นเบนซินเทอร์โบ 6 สูบแถวเรียง M256 3.0 ลิตร 381 แรงม้าที่ 5,800-6,100 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,000 รอบ/นาที คู่กับระบบ EQ Boost เสริมกำลังเครื่องอีก 20 แรงม้า เสริมแรงบิดอีก 200 นิวตันเมตร
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 6 สูบแถวเรียง OM656 3.0 ลิตรมีด้วยกันถึงสองความแรงตั้งแต่ 269 แรงม้าที่ 3,400 – 4,800 รอบ/นาที แรงบิด 650 นิวตันเมตรที่ 1,350-3,200 รอบ/นาที คู่กับระบบ EQ Boost เสริมกำลังเครื่องอีก 20 แรงม้า เสริมแรงบิดอีก 200 นิวตันเมตร ในรุ่น GLS350d 4MATIC และ 367 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 750 นิวตันเมตรที่ 1,350-2,800 รอบ/นาที คู่กับระบบ EQ Boost เสริมกำลังเครื่องอีก 20 แรงม้า เสริมแรงบิดอีก 200 นิวตันเมตร ในรุ่น GLS450d 4MATIC
และแรงสุดกับ Mercedes-AMG GLS 63 4MATIC+ เบนซินเทอร์โบคู่ 4.0 ลิตร V8 M177 แรงสุด 612 แรงม้าที่ 5,750-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 850 นิวตันเมตรที่ 2,500-4,500 รอบ/นาที พร้อม EQ Boost เสริมกำลังเครื่องอีก 22 แรงม้า แรงบิดเสริมอีก 250 นิวตันเมตร
และหรูสุดขั้วกับ Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC เบนซินเทอร์โบคู่ 4.0 ลิตร V8 M177 แรงสุด 557 แรงม้าที่ 6,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 730 นิวตันเมตรที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที พร้อม EQ Boost เสริมกำลังเครื่องอีก 22 แรงม้า แรงบิดเสริมอีก 250 นิวตันเมตร
ทุกขนาดเครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 สปีด 9G-Tronic พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering – wheel Gearshift Paddles) พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ 4MATIC “Full Time” เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถและการทรงตัวบนถนนที่เปียกลื่น ขับขี่แบบ OFF-ROAD ควบคุมการขับขี่ได้อย่างเฉียบคม มั่นใจ และนุ่มนวลตลอดการเดินทางในทุกสภาพถนนด้วยช่วงล่างถุงลมแบบ AIRMATIC พร้อมฟังก์ชันเตรียมรถเข้าสู่เครื่องล้างอัตโนมัติ โดยจะทำงานอย่างสอดคล้องร่วมกันเพียงสั่งงานผ่านหน้าจอ media display
ระบบความปลอดภัยล้ำสมัยมากมาย อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดบอดสายตา (Blind Spot Assist), ช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทาง (Active Lane Keeping Assist), ช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC), ช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist), รักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist), โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program), ป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control), กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง Electronic Traction System 4ETS สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงมีระบบTrailer Route Planner ที่ช่วยกำหนดเส้นทางการขับขี่ภายใต้การพ่วงท้ายรถ และมี Trailer Maneuvering Assist ที่่ช่วยควบคุมรถขณะที่ส่วนพ่วงท้าย
Mercedes-Benz GLS รุ่นปรับโฉมนี้มาพร้อมสีใหม่ทั้งสี Twilight Blue Metallic และ Manufaktur Alpine Grey Non-Metallic พร้อมขายยุโรปเร็วๆนี้ ส่วนเมืองไทยมีแนวโน้มสูงที่จะปรับด้วยเช่นกัน
ที่มา Mercedes-Benz