More

    MG4 XPOWER vs BYD SEAL เทียบสเปกอีวีตัวแรง 0-100 กม. 3.8 วิ

    นับจากที่ BYD SEAL เปิดตัวกลายเป็นรถทรงพลังให้อัตราเร่งเทียบชั้นซูเปอร์คาร์ 3.8 วินาที แต่วันนี้มีผู้ท้าชิงมาขอชิงเค้กก้อนนี้กับ MG4 XPOWER

    งานนี้มีทางเลือกมากขึ้นตัวเลือกมากขึ้นให้กับแฟนๆชาวไทยที่กำลังมองหารถสมรรถนะสูงในร่างรถอีวีละครั้งนี้ Car2Day ไม่พลาดโอกาสที่จะจับสองอีวีตัวโหดขับเคลื่อนสี่ล้อแบตค่มาเทียบกันแบบพอสังเขป เริ่มที่

    Design & Exterior

    MG

    MG4 XPOWER ยกพื้นฐานจากรุ่นปกติขับเคลื่อนล้อหลังในร่างคอมแพ็คแฮทช์แบ็กท้ายลาดตกแต่งเข้มๆด้วยสีเขียว Wild Hunter Green ล้ออัลลอยเข้มสีดำทูโทนปัดเงาห้าก้านขนาด 18 นิ้วหุ้มยางแก้มเตี้ยขนาด 235/45R18 ของค่าย Bridgestone รุ่น Turanza T005 EV

    ไฟหน้า LED ดีไซน์หกเหลี่ยม GALAXY TECHNOLOGY MATRIX HEADLIGHTS  พร้อมไฟ DRL แบบ LED กับกระจังหน้าดีไซน์ ‘shark-nosed’ เส้นแนวตั้ง 2 เส้น Fins รวมอยู่ในชุดกันชนหน้า คิ้วชายล่างประตูตกแต่งสีดำตัดกับลวดลายสีเงิน กระจกมองข้างทรงสปูน ไฟท้าย LED CGYNUS SYMBOL DECORATIVE LIGHT แนวตั้งพาดยาวครอบทั้งฝาท้ายพร้อมสปอยเลอร์หลังและกันชนหลังทรงสปอร์ต

    จากพื้นฐานแพลตฟอร์ม Modular Scalable Platform (MSP) ของ SAIC Motor ทำให้ตัวรถดูมีมิติและสมส่วนขึ้นตั้งแต่ความยาว 4,287 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,836 มิลลิเมตร ความสูง 1,516 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มิลลิเมตร และน้ำหนักรถ 1,800 กิโลกรัม

    BYD

    ด้าน BYD SEAL AWD Performance เจ้าแมวน้ำสุดหรูไซซ์เดียวกับ Toyota Camry Honda Accord มาพร้อมดีไซน์หล่อล้ำอนาคต ตั้งแต่ไฟหน้า LED ชุดกันชนหน้าขึ้นรูปชิ้นเดียวมีกระจังหน้าปิดทึบอยู่ในชุดเดียวกัน กระจกแบบโอเปร่า ดีไซน์หรูหราดุจรถยุโรป

    เส้นสายของตัวถังที่ดูลื่นไหลนับตั้งแต่จมูกหน้ารถ แนวตัวถังด้านข้าง ต่อเนื่องไปจนถึงโคมไฟท้าย LED ที่วางแบบเต็มความกว้างท้ายรถติดตั้งดิฟฟิวเซอร์มาให้พร้อมสรรพจุดสังเกตของรุ่นท็อปสุดด้านท้ายจะมีตัวอักษรว่า AWD และ 3.8 S ติดที่ฝากระโปรงท้าย พื้นที่วางของที่ฝากระโปรงหน้า 53 ลิตร ล้อสีทูโทนดีไซน์เอกลักษณ์ขนาดใหญ่ 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/45R19 จาก Continental SportContact

    สร้างบนพื้นฐาน e-platform 3.0 ความยาว 4,800 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,875 มิลลิเมตร ความสูง 1,460 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,920 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 120 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,185 กิโลกรัม และรัศมีวงเลี้ยว 5.7 เมตร

    Interior & Convenience

    MG

    ภายในเหมือน MG4 Electric รุ่นปกติ ถึงไม่ค่อยจะโดดเด่นเน้นความเรียบง่ายปนการใช้งานที่ค่อนข้างยากสิ่งที่เพิ่มมาตั้งแต่ เบาะนั่งทรงสปอร์ตสีดำหุ้มหนัง Alcantara สีดำ ปรับไฟฟ้าด้านคนขับ 6 ทิศทางและปรับธรรมดา 4 ทิศทางและพื้นที่ด้านหลังสำหรับวางสัมภาระที่จุมากขึ้นแบบ 60/40 เมื่อพับแล้วมีพื้นที่มากขึ้นถึง 1,165 ลิตร แต่ถ้าไม่พับเบาะมีพื้นที่ 363 ลิตร เพิ่มมีอจับบนหลังคาสามจุด  และชุดแป้นคันเร่งและเบรกสีเงิน และเพิ่มฟังก์ชัน One Pedal ในจอสัมผัส

    นอกนั้นคงเดิมทั้ง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านแบบท้ายตัด D-Shape มาตรวัดดิจิตอล 7 นิ้ว  จอสัมผัสแบบแท็บเล็ตขนาดใหญ่ 10.25 นิ้ว รองรับ การเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ สมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย บวกกับลำโพง 6 จุด พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB TYPE A และ C ระบบกรองอากาศ PM2.5 Intelligent Smart Access เมื่อผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งคนขับ เพียงเหยียบเบรกระบบการทำงานของรถจะสตาร์ทอัตโนมัติ ช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12V

    MG

    พร้อมด้วย ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ที่ช่วยยกระดับคุณค่าและประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้ประกอบด้วย ระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ (Smart Check) ตรวจสอบแบตเตอรี่ Battery Doctor สั่งการและระบบค้นหารถ Find My Car เตือนความผิดปกติของรถยนต์ ช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ

    สั่งการอัจฉริยะ (Smart Command) กุญแจดิจิตอล สั่งการผ่านเสียงภาษาไทย ควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน โทรออก – รับสายกรณีฉุกเฉิน สั่งการชาร์จ สถานี MG SUPER CHARGE ผ่านทางสมาร์ทโฟน

    เชื่อมต่ออัจฉริยะ (Smart Connect) ระบบนำทาง Navigation พร้อมรายงานการจราจรแบบ Real Time ช่วยค้นหาร้านอาหาร และที่พักบนแผนที่นำทาง อัพเกรดระบบผ่านออนไลน์ เล่นเพลงออนไลน์แบบสตรีมมิ่ง อัพเดทข้อมูลพยากรณ์อากาศ และเรียกดูข้อมูลข่าวสาร เหตุการณ์ปัจจุบัน

    BYD

    แน่นอน BYD ทุกรุ่นได้เปรียบตรงที่การใช้งานเป็นมิตรกับคนขับเพราะการจัดวางฟังก์ชันต่างๆคล้ายกับรถยนต์สันดาป ทำให้คนที่เปลี่ยนมาใช้รถอีวีจึงสบายใจขึ้นรวมถึงเจ้าแมวน้ำคันนี้

    ด้วยห้องโดยสารเด่นทั้งเรื่องดีไซน์ตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน ทรงท้ายตัดพร้อมสันเพิ่มความกระชับให้กับอุ้งมือ มองลอดพวงมาลัยเป็นจอ Driver Display แสดงผลในรูปแบบดิจิตอล LCD 10.25 นิ้ว ถัดไปอีกเล็กน้อย คือ Head-up Display แสดงข้อมูลที่จำเป็นโดยที่ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนนเบื้องหน้า

    จอแสดงผล ระบบ Infotainment ขนาดใหญ่เต็มตาถึง 15.6 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple Car Play Android Auto รองรับ 5G มีระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ DiLink และลำโพง Dynaudio 12 จุด

    ที่ชาร์จมือถือไร้สายให้มาถึง 2 จุด รวมถึงหัวเกียร์คริสตัลรอบๆคันเกียร์รายล้อมด้วยปุ่มควบคุมการทำงานของจอสัมผัส เบาะนั่งทรงสปอร์ต หุ้มหนังอย่างประณีต มีช่องเก็บของหลายจุดสามารถวางแก้วน้ำ พื้นที่สัมภาระท้ายมีความจุ 400 ลิตรระบบการเข้าารถ และ สตาร์ทแบบ Keyless ทำงานร่วมกับกุญแจแบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ NFC

    Power & Transmission

    MG

    MG4 XPOWER มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้าพัฒนาใหม่ ความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน NMC battery 64 kWh ความจุแบตเตอรี่ที่ใช้งานจริง 61.8 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าล้อหน้าให้กำลัง 204 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าล้อหลังให้กำลัง 231 แรงม้า และเมื่อทำงานร่วมกันแรงสุด 435 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร

    ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 480 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC โหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL, SPORT, CUSTOM และ SNOW มีระบบ One Pedal ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น และทำให้ระยะทางการขับขี่เสถียรยิ่งขึ้น KERS (Kinetic Energy Recovery System) 4 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ กลาง สูง และแบบแปรผันตามการขับขี่ (ADAPTIVE)

    ชาร์จสองรูปแบบทั้งชาร์จข้ากระแสสลับ AC Type 2 กำลังไฟสูงสุด 11 kW จาก 10-100% ทำได้ 6.30 ชั่วโมง ชาร์จเร็วกระแสตรง DC CCS2 สองรูปแบบตั้งแต่กำลังไฟสูงสุด 140 kW จาก 10-80% ทำได้ 26 นาที รองรับระบบ V2L เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 2000w มีระบายความร้อนด้วยระบบ LIQUID COOLING SYSTEM แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น

    ตัวรถกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ควบคู่กับการออกแบบลักษณะ Low Centre of Gravity ที่ให้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำเพื่อการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ดิสก์เบรก 4 ล้อ คาลิปเปอร์เบรกสีส้ม XPOWER เติมความเป็นสปอร์ตพร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบอิสระ 5-Link Suspension

    BYD

    BYD SEAL AWD Performance มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความจุแบตเตอรี่ขนาด 82.56 kWh โดยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า Asynchronous Motor ให้กำลัง 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลัง 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร กำลังรวมสูงสุด 530 แรงม้า กับ แรงบิดสูงสุดระดับ 670 นิวตันเมตร

    สามารถวิ่งได้ 580 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC แถมให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    รองรับการชาร์จเร็ว (DC fast charging แบบ CCS2) 30-80% ภายในเวลา 26 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 150 kW และชาร์จช้า AC แบบ Type 2 รองรับกำลังไฟสูงสุด 7 kW ทุกรุ่น ยังมีเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้ทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้

    นุ่มนวลถึงใจด้วยช่วงล่างอิสระสี่ล้อด้านหน้าแบบดับเบิลวิชโบนปีกนกคู่ และด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์แต่ไม่มีเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง มีระบบการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking) พร้อมพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร

    Safety & Feature

    MG

    MG4 XPOWER มาพร้อมระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) ปรับแต่งระบบช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION และมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM 23 ระบบ ได้แก่

    ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) ป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)  ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)

    ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)  ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)

    ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ช่วยเบรกขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Braking)

    เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System) ช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) One Pedal ช่วยให้ขับขี่ได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้เสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer และระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)

    BYD SEAL AWD Performance มีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ที่มาอย่างครบครันออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงได้แก่ ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) Stop and Go ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW) ช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB)

    ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKS) ช่วยเตือนการชนด้านหน้าและหลัง (PCW, RCW) ช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) ช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA, RCTB) ช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP) ช่วยควบคุมฉุกเฉินให้รถอยู่ในช่องทางเดินรถ (ELKA) ช่วยเตือนการชนเมื่อเปลี่ยนช่องทางเดินรถ (LCW) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (Follow Me Home)

    พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้งถุงลมนิรภัย 9 จุดรอบคัน ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX เสริมแรงเบรกอัจฉริยะ เบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC) ป้องกันการลื่นไถล (TCS) ควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD) ควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC) กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา และออปชันความปลอภัยพิเศษที่มีในรุ่นท็อปของเจ้าแมวน้ำก็คือ ระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ (iTAC) และระบบล็อกประตูป้องกันเด็กไฟฟ้า

    Price & Color

    MG

    MG4 XPOWER จะเผยโฉมครั้งแรกในงาน MG Everyday Electric ระหว่างวันที่ 13-19 มีนาคม ที่ ลานโปรโมชั่น ฮอลล์ เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเปิดราคาที่งาน Bangkok Motor Show 2024 ค่าตัวไม่เกิน 1,200,000 บาท

    BYD

    BYD SEAL AWD Performance มีทั้งหมด 4 สีทั้งสีฟ้า Velocity Blue สีขาว Horizon White สีดำ Quantum Black และสีเทา Space Gray ในราคา 1,599,000 บาท

    Verdict

    BYDแม้รถอีวีสองคันนี้มีความต่างในด้านตัวถังแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันกับเป็นรถขับสี่มอเตอร์คู่ที่ให้ความสนุกขับเร้าใจทุกเส้นทางด้วยอัตราเร่งเดียวกัน 3.8 วินาที โดย MG4 XPOWER ให้ แรงกว่าเดิมเยอะ ให้ฟิลลิ่งขับสนุกเหมือนรถขับหลัง โดยมีล้อหน้าเป็นช่วยเพิ่มสมรรถนะและการทรงตัวให้ดีขึ้น

    ยังมี Launch Control ในโหมด Sport เพิ่มความสนุกสนานในการออกตัวและเร่งสปีดจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้แบบไม่มีฟรีทิ้งช่วงล่างอิสระสี่ล้อปรับใหม่เฟิร์มขึ้นทั้งโช้คและสปริง พวงมาลัยคมควบคุมง่าย เชื่องมือทุกโค้งพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพที่ช่วยจัดการเมื่อรถเกิด Oversteer ไม่ยอมให้รถเสียอาการจนเสียการควบคุมเลย

    ที่สำคัญเบรกใช้จานขนาดใหญ่ขึ้นเป็นหน้า 345 มิลลิเมตร หลัง 340 มิลลิเมตร พร้อมช่องระบายความร้อนทั้งหน้า/หลัง ช่วยให้ระยะเบรกสั้นลง พร้อมสยบความแรงระดับ 435 ม้า ได้อยู่หมัด

    ทางด้าน BYD SEAL AWD Performance รถพลังอีวีเด่นในการให้ความแรงและเร็ว 3.8 วินาทีเหมือนกันแต่พก แรงม้ามหาโหดกว่า 500 แรงม้ามากกว่า XPOWER แต่ด้วยช่วงล่างอิสระสี่ล้อเน้นนุ่มและยางที่ให้มาไม่เหมาะกับรถพลังแรงแบบนี้จึงสมควรต้องเปลี่ยนให้เหมาะสม นั่นเอง

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts