หลังเผยหน้าตาและสเปกกันไปแล้วสำหรับ Toyota Crown Sedan เก๋งใหญ่เจเนอเรชันที่ 16 ครั้งนี้ Toyota วางเดิมพันยอดขายเดือนละ 600 คัน
เก๋งใหญ่ตรามงกุฎเจนที่ 16 มาแบบ Fastback Sedan หรูหราด้วยติดตรามงกุฎบนฝากระโปรงหน้ารถไฟหน้าเป็นแบบ LED 4 ดวง และ Bi-Beam LED ดวงเดียว กระจังหน้าขอบสีโครเมียมดำพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ในชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ต ติดตั้งไฟท้าย LED เส้นเดียวแนวยาวที่มีทั้ง ไฟเบรก ไฟท้ายหลัก ไฟเลี้ยว และไฟถอยในโคมเดียวกัน พร้อมตราสามห่วงติดท้ายรถ การตกแต่งสีดำเข้มตั้งแต่ฝากระโปรงหน้ากับหลัง กันชนหลัง กระจกมองข้าง มือจับประตู หลังคามีทั้งแบบ Panoramic Moonroof และมูนรูฟบานเดียว
ล้ออัลลอยที่มีให้เลือกทั้งขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/45R19 ขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง 245/45R20 จากค่าย Dunlop “e.SPORT MAXX”สร้างจากแพลตฟอร์ม TNGA-L พื้นฐานเดียวกันกับ Lexus LS กับ Toyota Mirai ด้วยความยาว 5,030 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,890 มิลลิเมตร ความสูง 1,475 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร ความสูงจากใต้ท้องรถ 130-135 มิลลิเมตร และความจุถังน้ำมัน 82 ลิตร
ภายในยกมาจาก Toyota Crown Crossover และ Sport ตั้งแต่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านตกแต่งโลโก้ตรามงกุฎ พร้อมจอทัชสกรีนคู่ 12.3 นิ้ว ที่มีทั้งมาตรวัดดิจิตอลและจอสัมผัสควบคุมระบบบันเทิงและการเชื่อมต่อในชุดจอเดียวกัน เชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlayไร้สาย Android Auto พร้อมลำโพง มากถึง 14 จุด Toyota Premium Sound System จอแสดงผลเหนือคอนโซลหน้า Head Up Display เครื่องปรับอากาศแยกส่วน 3 จุดทั้งด้านหน้าซ้ายขวา และด้านหลังหนึ่งจุด ไฟสร้างบรรยากาศ Multi-color illumination 64 สี จ่ายไฟภายนอกด้วยช่องเสียบปลั๊ก AC100V 1500W และท้ายรถมีพื้นที่การขนของมากถึง 450 ลิตร
ขุมพลังเป็นแบบขับเคลื่อนล้อหลังเริ่มที่เบนซิน Dynamic Force Hybrid 2.5 ลิตร A25A-FXS ให้กำลังถึง 185 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 225 นิวตันเมตรที่ 4,200-5,000 รอบต่อนาที จากเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวเริ่มที่ ด้านหน้า 3NM ให้กำลังถึง 119 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าหลัง 5NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ Hybrid แบบ Nickel-Metal 4.3 Ah เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้ามากถึง 249 แรงม้า คู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เลือกได้ห้าโหมดสำหรับการขับขี่ Rear Comfort, Normal, Eco, Sport และ Custom โดยเป็นระบบไฮบริดแบบ multi-stage hybrid การรวมเครื่องยนต์ มอเตอร์ และสเต็ปเกียร์เข้าด้วยกัน เพื่อตอบสนองการขับขี่เร่งแซงได้ทุกช่วงความเร็ว ปลดปล่อยมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานตั้งแต่ความเร็ว 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากเดิม 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เวอร์ชันไฟฟ้าเติมไฮโดรเจนแบบ ECEV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent magnet synchronous motor รุ่น 4JM ให้กำลังมากถึง 182 แรงม้าที่ 6,940 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 0-3,267 รอบต่อนาที พร้อมแบตเตอรี่แบบ lithium-ion ขนาดเล็กลงเพียง 4 Ah จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single Speed ขับเคลื่อนล้อหลัง ผนวกกับถังไฮโดรเจน 3 ถังแรงดัน รหัส FCB130 แรงดัน 70 MPa ซุกใต้ท้องรถมีความจุถังทั้งหมด 141 ลิตร (แบ่งเป็นถังที่หนึ่ง 64 ลิตร ถังที่สอง 52 ลิตร และถังที่สาม 25 ลิตร) ให้พลัง 174 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร แถมวิ่งไกลสุดต่อการเติมหนึ่งครั้งเพียง 820 กิโลเมตร เติมหนึ่งครั้งเพียง 3 นาที เป็นขุมพลังยกมาจาก Toyota Mirai
พร้อมความปลอดภัย Toyota Safety Sense 3.0 ครบครันด้วย Automatic High Beam ลดความสว่างของไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่อพบรถสวน, Dynamic Radar Cruise Control แปรผันความเร็วอัตโนมัติโดยใช้เรดาห์ตรวจจับรถคันหน้า, Road Sign Assist ช่วยสังเกตป้ายสัญญาณเตือน, Pre-Collision System with Pedestrian Detection เตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบตรวจจับ, Lane Departure Alert with Steering Assist ช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมฟังก์ชันหน่วงพวงมาลัยกลับอัตโนมัติ, Lane Tracing Assist ช่วยรักษาตำแหน่งรถในช่องทาง, Blind Spot Monitor แจ้งเตือนมุมอับสายตา, Rear Cross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลัง
Toyota Crown Sedan มีทั้งหมด 6 สีทั้งสีขาว Precious White, สีดำ Black, สีเทา Precious Metal, สีบรอนซ์เงิน Precious Silver, สีน้ำตาล Precious Bronze และสีน้ำเงินเข้มในราคาเริ่มต้น 7,300,000-8,300,000 Yen หรือราว 1,739,000-1,975,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทย แต่ถ้านำเข้ามาขายในไทยราคารถรวมภาษีจะอยู่ที่ 3,709,000-4,215,000 บาท
ที่มา Carwatch