ปัจจุบันนี้กระแสของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดยานยนต์ของเมืองไทย ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทำให้คนไทยนิยมออกรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้กันเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับมือใหม่ที่อยากออกรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้แต่ยังลังเลอยู่ วันนี้ Car2Day จะมาแนะนำ 6 ข้อควรรู้ ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก
1.ดูความจุของแบตเตอรี่และระยะทางที่วิ่งได้ไกลที่สุด
รถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือรถยนต์ประเภท BEV ในตัวรถจะมีแบตขนาดใหญ่ ซึ่งแต่ละรุ่นนั้นจะมีความจุของแบตที่แตกต่างกันไป เมื่อชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ระยะทางในการขับขี่ที่ได้ก็จะแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่และสมรรถนะของตัวรถ การเลือกความจุของแบตเตอรี่จึงควรจะคำนึงถึงรูปแบบของการใช้งานรถ เช่น ขับทางไกลเป็นประจำ อาจจะต้องเลือกรถที่มีขนาดแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง และแน่นอนว่าราคารถก็จะสูงตามไปด้วยเช่นกัน
2.ดูระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่
ระยะเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ของรถนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับความจุของแบตแล้ว ยังต้องดูว่าใช้ระบบการชาร์จแบบใด ซึ่งการชาร์จนั้นจะมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) และ ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) แบบแรกกระแสสลับจะไว้ใช้ในที่พักอาสัย หรือตามห้าง ซึ่งจะใช้เวลาชาร์จนานกว่าแบบที่สองที่เป็นกระแสตรง ซึ่งจะอยู่ตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แบบนี้จะใช้เวลาชาร์จเฉลี่ยประมาณ 40 – 60 นาที
3.การติดตั้งที่ชาร์จไฟฟ้า สำหรับชาร์จรถ EV ที่บ้าน
การติดตั้งจุดชาร์จรถ EV เอาไว้ที่บ้าน เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ควรทำเมื่อมีรถไฟฟ้า เพราะในปัจจุบันนี้จุดชาร์จรถไฟฟ้าอาจจะยังมีไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การติดตั้งที่ชาร์จเอาไว้ที่บ้านจะช่วยเพิ่มความสะดวกสะบายได้มากกว่า แถมยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วย แต่ต้องทำการศึกษารายละเอียดและราคาก่อนให้ดีก่อนการติดตั้ง
4.เปรียบเทียบค่าเชื้อเพียงที่ต้องจ่ายระหว่างน้ำมันกับไฟฟ้า
ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก ควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างการชาร์จไฟฟ้าซึ่งมีราคาที่ถูกกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง รถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1-3 บาทต่อกิโลเมตร แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ที่ 0.20-0.50 สตางค์ต่อกิโลเมตร แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเวลาในการเติมเชื้อเพลิง เพราะการเติมนน้ำมันเต็มถังนั้นใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่การชาร์จไฟฟ้า ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป
5.ศึกษาเกี่ยวกับการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง
รถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่มีเครื่องยนต์ทำให้ไม่ต้องเสียค่าดูแลรักษาเครื่องยนต์ เช่น ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และค่าน้ำมันหล่อลื่นต่าง ๆ ที่จะต้องดูแลรักษาเป็นประจำตามระยะที่กำหนด แต่รถไฟฟ้าหากเกิดความเสียหายจะมีค่าอะไหล่ที่แพงกว่ามาก เช่น ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ ที่อาจต้องเสียเงินเป็นหลักแสนเลยทีเดียว และเวลาที่ต้องการซ่อมรถไฟฟ้าจะต้องเข้าศูนย์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถเข้าอู่นอกได้แบบรถน้ำมัน
6.เลือกแบรนด์ EV ที่น่าเชื่อถือและมีบริการหลังการขายที่ดี
เนื่องจากรถไฟฟ้าเพิ่งเข้ามาในไทยไม่นาน การพิจารณาเลือกแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือและได้มาตรฐานการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งต้องมีศูนย์บริการหลังจากขายที่ได้มาตรฐาน ที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วเวลารถเกิดมีปัญหา เพราะไม่สามารถซ่อมรถ EV นอกศูนย์บริการได้
บทความที่เกี่ยวข้อง
ขับรถไฟฟ้า 800 กิโลเมตร จากกรุงเทพถึงกระบี่ แวะชาร์จที่ไหนได้บ้าง?
หลายห้างพร้อมแล้ว! อัพเดทสถานีชาร์จ EV ในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ 2567
ติดตามข่าวสารยานยนต์ : car2day.com
Page Facebook : Car2Day
Youtube : youtube.com/@Car2day