ยังทำตลาดต่อไปสำหรับ Mazda 3 เจเนอรเชันที่ 4 แม้อายุโมเดลลกยาวมาถึง 5 ปีและยังไม่มีการปรับโฉมแต่อย่างใดแม้จะเข้าสู่ยุคกลางโมเดลก็ตาม
ล่าสุดเปิดตัวรุ่น Mazda 3 MY2025 ด้วยการปรับรุ่นย่อยเพิ่มออปชันใหม่เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยใส่ใจทั้งคนขับ ผู้โดยสาร
ภายนอก Exterior
ภายนอกคงเดิมตั้งแต่กระจังหน้า Signature Wing ไฟหน้า Projector แบบ LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน Daytime Running Lamp แบบ Signature LED พร้อมปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ AFS ไฟท้าย LED ทรงกลมโดนัท 2 ดวง กระจกมองข้างทรงสปูนปรับพับด้วยไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว เสาอากาศฝังกระจกหน้า ล้ออัลลอยเลือกได้สองขนาดตั้งแต่ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/60R16 และขนาด 18 นิ้ว 5 ก้านคู่พร้อมยาง 215/45R18
นอกจากนี้ยังแนะนำรุ่นย่อยใหม่รุ่นเริ่มต้น 15C Fastback พร้อมรุ่นพิเศษ Retro Sports Edition ผสมผสานความสปอร์ตเข้ากับมุมมองโลกแบบย้อนยุคโมเดิร์น ทั้งกระจังหน้า กระจกมองข้างทรงสปูน หลังคารถและล้อขนาด 18 นิ้ว ตกแต่งสีดำในตัวถัง Fastback กับ Sedan ทั้งรุ่น 15S Fastback, 20S Sedan กับ Fastback และรุ่น XD Sedan กับ Fastback
ยังมีแพ็คเก็จเสริมหล่อ Black Appearance Package ในตัวถัง Fastback รุ่น15S S Package กับรุ่น XD S Package และตัวถัง Sedan รุ่น 20S S Package และรุ่น XD S Package ด้วยชุดแต่งสีดำในล้ออัลลอยกับกระจกมองข้างทรงสปูน
ภายใน Interior
มีออปชันในแต่ละรุ่นย่อยระบบอุ่นเบาะในรุ่น 20S Touring ตัวถัง Fastback กับ Sedan, รุ่น X Touring ตัวถัง Fastback และรุ่น XD Touring ตัวถัง Fastback กับ Sedan พร้อมสั่งงานด้วยเสียง Amazon Alexa สามารถใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ระบบอุ่นเบาะ ระบบอุ่นความร้อนที่พวงมาลัย โทรออกและรับสายและกำหนดจุดหมายปลายทางในการนำทางด้วยคำสั่งเสียงทุกรุ่นย่อยยกเว้นรุ่นเริ่มต้น 15C Fastback นอกนั้นคงเดิมทั้งจอสัมผัสบนแผงคอนโซลหน้าเป็นขนาด 10.25 นิ้ว บนคอนโซลหน้าเน้นแนวสปอร์ต
รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play ไร้สาย และ Android Auto พร้อมระบบความบันเทิง Mazda Connect พร้อมสั่งสตาร์ทรถล่วงหน้า Remote Start Engine ได้จากสมาร์ทโฟนผ่านทางแอปพลิเคชัน The My Mazda เฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ สามารถตั้งอุณหภูมิในห้องโดยสารล่วงหน้าก่อนสตาร์ทรถและขับขี่ และแจ้งเตือนหากรถขับเกินความเร็วหรือเวลาที่คุณสามารถเก็บไว้ในระบบคลาวด์ได้จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Active Driving Display บนแผงคอนโซลหน้าซ่อนมุม
ที่ชาร์จมือถือไร้สาย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน ลำโพงคุณภาพจาก BOSE ที่มากถึง 12 จุด เครื่องปรับอากาศแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา เบรกมือไฟฟ้าพร้อมปุ่ม Hold Brake และเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ ปรับด้วยระบบไฟฟ้า 10 ทิศทาง ทำงานคู่กับระบบบันทึกความจำ 2 ตำแหน่ง กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมหลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า ช่องเสียบ USB Type C และมีไฟส่องสว่าง
สมรรถนะ Performance
มีทั้งเบนซินและดีเซลในตระกูล SKYACTIV ตั้งแต่เบนซิน SKYACTIV-G ขนาดเล็กสุด 1.5 ลิตร รหัส P5-VPS ให้กำลังสูงสุด 111 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 146 นิวตันเมตรที่ 3,500 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า
ใหญ่สุดกับเบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร รหัส PE-VPH ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 199 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 6 สปีด และเกียร์ธรรมดา SKYACTIV-MT 6 สปีดขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV All-Wheel Drive
ทางด้านดีเซลมีขนาดเดียวกับดีเซลเทอร์โบ SKYACTIV-D ขนาด 1.8 ลิตร รหัส S8-DPTS ให้กำลังสูงสุด 130 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 270 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV All-Wheel Drive
ความปลอดภัย Safety
ความปลอดภัยเต็มคัน i-ACTIVSENSE ทั้งระบบสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ตรวจสอบผู้ขับขี่ หรือ Driver Monitoring System (DMS) ออกมาเตือนทั้งภาพและเสียงเพื่อกันผู้ขับขี่ขับรถเป็นเวลานานๆ หรือ ง่วงหลับในและตรวจจับคนเดินถนน กล้องมองภาพรอบคัน สัญญาณกะระยะถอยจอดรวมกัน 10 จุด ทั้งด้านหน้าและด้านหลังและใหม่ Rear Seat Alert แจ้งเตือนสถานะผู้โดยสารที่เบาะด้านหลัง โดยจะขึ้นไฟเตือนเมื่อดับเครื่องยนต์ ซึ่งระบบจะตรวจจับจากการเปิดประตูหลัง
เบื่องต้นเปิดรับจองตั้งแต่ 1 สิงหาคมและขายจริงที่ญี่ปุ่นต้นเดือนตุลาคมในราคาเริ่มต้น 2,209,900-3,986,400 YEN หรือราว 529,000-949,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้านำมาขายในไทยราคารวมภาษีอยู่ที่ 1,525,000-2,729,000 บาท
ที่มา Carwatch