แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้รถยนต์ของเราสามารถสตาร์ทและทำงานได้อย่างราบรื่น โดยแบตเตอรี่จะทำหน้าที่เก็บประจุไฟฟ้าและปล่อยพลังงานออกมาเมื่อเครื่องยนต์ต้องการใช้งาน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าแบตเตอรี่รถยนต์มีหลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์แต่ละประเภทกัน
ประเภทของ “แบตเตอรี่รถยนต์”
แบตเตอรี่รถยนต์ โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้
แบตเตอรี่แบบน้ำ (Conventional Battery)
เป็นแบตเตอรี่แบบดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน มีขั้วบวกและขั้วลบแช่อยู่ในน้ำกรด
ข้อดี: มีราคาถูกที่สุด หากดูแลถูกวิธีจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มีความทนทานต่อการประจุไฟเกินและคายประจุ
ข้อเสีย: ต้องมีการดูแลรักษาบ่อย ๆ เช่น ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นและเติมน้ำกลั่นเป็นประจำ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจทำให้แผ่นธาตุเสื่อมสภาพได้ง่าย
แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง (Maintenance Free หรือ MF)
เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากแบตเตอรี่แบบน้ำ โดยมีการออกแบบให้มีการรั่วไหลของน้ำกลั่นน้อยลง ทำให้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยนัก มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 3 ปี
ข้อดี: ดูแลรักษาง่ายกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย มีความทนทาน
ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำเล็กน้อย
แบตเตอรี่แบบแห้ง (Sealed Maintenance Free หรือ SMF)
เป็นแบตเตอรี่ที่ปิดผนึกมาจากโรงงาน ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน ถือเป็นประเภทแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
ข้อดี: ดูแลรักษาง่ายที่สุด ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น
ข้อเสีย: ราคาสูงที่สุด
แบตเตอรี่แบบไฮบริด (Hybrid Battery)
เป็นแบตเตอรี่ที่ผสมผสานคุณสมบัติของแบตเตอรี่แบบน้ำและแบบแห้งเข้าด้วยกัน มีโครงสร้างภายในประกอบไปด้วยโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับแคลเซียมเฉพาะแผ่นธาตุลบ ทำให้อัตราการระเหยของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ชนิดนี้น้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำหลายเท่า
ข้อดี: มีประสิทธิภาพสูง ทนทาน และดูแลรักษาง่าย
ข้อเสีย: ราคาค่อนข้างสูง
การเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ที่ดี จะช่วยให้รถยนต์ของคุณใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้มากขึ้น หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์ สามารถสอบถามช่างผู้เชี่ยวชาญได้เลยครับ
บทความที่น่าสนใจ
วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถให้ใช้งานได้นาน ยืดอายุการใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพ
วิธีกำจัดรอยขนแมว ให้รถกลับมาใสกิ๊ง ทำเองง่าย ๆ ได้ที่บ้าน