GWM เผยรถใหม่ที่จะเปิดตัวในไทยถึง 3 รุ่นประเดิมด้วย GWM TANK 300 Diesel GWM ORA Good Cat สีใหม่ และ GWM HAVAL H6 ไมเนอร์เชนจ์
GWM HAVAL H6 ปรับโฉมครั้งที่สองหลังจากปรับโฉมครั้งแรกเมื่อปี 2022 และเป็นรถประกอบในไทยฐานสำคัญในการผลิตรถพวงมาลัยขวาการอัปเกรดซอฟต์แวร์สู่ความเหนือชั้น ระบบอินโฟเทนเมนต์ที่จะมอบประสบการณ์ให้เพลิดเพลินยิ่งกว่าในทุกเส้นทาง และสมรรถนะที่ให้มาแบบจัดเต็ม สู่ประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจครบครันในทุกมิติ
ภายนอกเริ่มที่ส่วนของไฟหน้า Intelligent LED ที่เพรียวลงกว่าเดิมให้ความสว่างที่จะมอบความปลอดภัยให้กับทั้งครอบครัวในทุกการเดินทาง ทั้งระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home) สะดุดตาด้วยระบบไฟ Signature Light แบบ Waterfall ร่วมกับระบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED (DRL – Daytime Running Light) รูปเลขเจ็ด
กระจังหน้าขนาดใหญ่ติดตรา HAVAL สีดำโครม Black Chromeม อบความรู้สึกสปอร์ตและสุนทรียศาสตร์แห่งการออกแบบที่เรียบหรูและโดดเด่นยิ่งกว่าได้อย่างไร้ที่ติ ชุดกันชนหน้าใหม่ออกแบบช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
ด้านข้างเสริมความสปอร์ตด้วยคิ้วประตู หน้าต่าง สีเปียโนแบล็ก นอกจากนี้ยังมอบความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้นด้วย หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิกเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าขนาด 1.2 เมตรกระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวแบบสีเปียโนแบล็ก ที่จะมีการพับอัตโนมัติเมื่อมีการล็อกรถ ไร้ความกังวลในทุกการขับขี่ หรือการจอดรถ
ราวหลังคาแบบสีเปียโนแบล็ก ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับบรรทุกสัมภาระบนหลังคารถโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ขณะที่เสาอากาศแบบครีบฉลามไม่เพียงช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรับสัญญาณสื่อสารภายในรถ แต่ยังช่วยลดแรงต้านอากาศระหว่างการขับขี่อีกด้วย
ฝาท้ายแบบสีเปียโนแบล็ก พร้อมไฟท้ายแบบ LED Light Strip แบบรมดำและระบบไฟตัดหมอกด้านหลังแบบ LED ติดตรา GWM ขนาดใหญ่ รับกับกันชนหลังดีไซน์เท่พร้อมท่อไอเสียสองฝั่ง ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED มองเห็นได้ชัดเจน ประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี ช่วยให้การเปิดประตูด้านท้ายรถในขณะถือสัมภาระง่ายยิ่งขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 225/55 R19 ในรุ่น PRO Hybrid และขนาด 19 นิ้วสีดำเข้มพร้อมยาง 2355/55R19 ในรุ่น Plug In Hybrid พร้อมกับชุดซ่อมยางที่ให้มาอย่างครบครันในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน มีมิติตัวรถขนาดกว้างขวางตั้งแต่
- ความยาว 4,703 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,886 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,730 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,738 มิลลิเมตร
- ความสูงจากใต้ท้องรถ 170 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 1,720 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 61 ลิตร ในรุ่น HEV และความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร ในรุ่น PHEV
เปลี่ยนตัวตนด้วยดีไซน์ภายในลุคใหม่โดยยังใช้แผงคอนโซลหน้าดีไซน์เดิมปรับรายละเอียดใหม่เริ่มที่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 2 ก้านดีไซน์ใหม่ดูแปลกตาพร้อม Paddle Shift จอสัมผัสขนาดใหญ่ขึ้น 14.6 นิ้ว Touch Screen Audio Display ความละเอียดสูง เต็มอิ่มกับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, Bluetooth และ MP3
จอแสดงผลแบบ Head Up Display (HUD) 9 นิ้ว แสดงภาพข้อมูลการขับขี่ครบครัน และแผงมาตรวัดดิจิตอลลอยตัว HD Multi Information Display 10.25 นิ้ว พร้อมแสดงระบบนำทาง มีระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Command) ที่มีความแม่นยำ ลดการสัมผัสปุ่มและลดอุบัติเหตุขณะขับขี่ เชื่อมต่อไวไฟ เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกสบายในระหว่างการเดินทาง
ลำโพง Amor luxury hifi system จำนวน 8 และ 9 ตำแหน่ง พร้อม Treble Woofer ให้เสียงคมชัดทั่วถึงทั้งคัน และยังมีระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถของรถ เพิ่มความสุนทรีในการขับขี่ตลอดทั้งเส้นทาง
คอนโซลกลางออกแบบใหม่หมดตัดปุ่มต่างๆใต้จอสัมผัสออก คอนโซลเกียร์ออกแบบใหม่ย้ายตำแหน่งชุดเกียร์ไฟฟ้า Electronic Shifter จากปุ่มหมุนย้ายมาอยู่หลังพวงมาลัยหรือเรียกกันว่าเกียร์คอ มาเป็นที่วางแก้วสองจุด ที่ชาร์จมือถือไร้สายที่หยิบวางง่ายขึ้น มีระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันหยุดอัตโนมัติขณะรถหยุดนิ่ง กุญแจ Smart Key และระบบ Push start system ช่วยให้ผู้ขับขี่สตาร์ทเครื่องยนต์ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ไฟตกแต่งห้องโดยสาร (Ambient Light) เติมสีสันให้ห้องโดยสาร ด้วยไฟหลากสีที่ปรับจังหวะเป็นคลื่นน้ำสุดล้ำ ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง 4 จุด และช่องต่อ USB สำหรับกล้องบันทึกภาพ 1 จุด ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวาพร้อมกรองอากาศ CN95 อีกทั้งยังมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง คอนโซลกลางสองชั้น พร้อมพนักวางแขนและที่วางแก้วน้ำ
เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางพร้อมระบบดันหลังไฟฟ้าในส่วนคนขับ และไฟฟ้า 4 ทิศทางในส่วนคนนั่ง พร้อมปุ่มปรับตำแหน่งด้านคนขับ ร่วมกับระบบระบายอากาศ เบาะหลังพร้อมที่เท้าแขนกลาง เบาะหลังพับได้แบบ 60/40 มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายพร้อมพนักพิงศรีษะตอนกลาง พนักวางแขนตอนกลาง พร้อมที่วางแก้วน้ำ และกระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ที่ช่วยปรับความสว่างจากไฟหน้ารถที่ขับตามหลังในเวลากลางคืนโดยอัตโนมัติ
มาพร้อมกับการเชื่อมต่อและการควบคุมรถจากระยะทางไกลผ่านแอปพลิเคชัน GWM ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายขั้นสุดให้กับผู้ขับขี่ในทุกมิติ ได้แก่ ระบบตรวจสอบสถานะประตูและหน้าต่าง ระบบปรับอากาศ ระบบตรวจสอบระยะทางทั้งหมด ระยะทางวิ่งคงเหลือ ปริมาณน้ำมัน สถานะอุณหภูมิและแรงดันลมยาง ระบบช่วยเตือนเมื่อสถานะประตูและหน้าต่างห้องโดยสารผิดปกติ
ระบบช่วยเตือนเมื่อปริมาณน้ำมันต่ำ ระบบค้นหาตำแหน่งรถยนต์ ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ ระบบล็อกและปลดล็อกประตู ระบบปิดกระจก ระบบเปิด-ปิดระบบปรับอากาศ และอื่น ๆ ขณะที่รุ่น Plug in Hybrid มาพร้อมกับระบบตรวจสอบสถานะการชาร์จ ระบบจัดการการชาร์จ อีกทั้งยังมีระบบตรวจสอบสถานะและระบบปิดหลังคาซันรูฟ สำหรับรุ่น Plug in Hybrid ULTRA
สเปกไทยจะจำหน่ายเพียงสองทางเลือกเริ่มที่ขุมพลัง Hybrid ด้วยเบนซินเทอร์โบแปรผันซูเปอร์ชาร์จ VGT 1.5 ลิตร GW4B15 GDIT EVO 150 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 230 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบต่อนาที จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้า 177 แรงม้าที่ 300 นิวตันเมตรเมื่อทำงานร่วมกันจะได้แรงม้ารวมสูงสุด 243 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร
และขุมพลัง Plug In Hybrid ใช้เครื่องเดียวกันกับรุ่น HEV แต่พัฒนาเพิ่มพลังมากขึ้นชาร์จได้มากขึ้นและวิ่งไกลสุดมากขึ้นด้วยผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าและเพลาขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิกส์แบบ Multi-mode DHT และความจุแบตเตอรี่ปรับลดลงเหลือ 27.54 kWh (เดิม 41.5 kWh) ให้กำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุดถึง 530 นิวตันเมตร รองรับการขับขี่ที่หลากหลาย ช่วยประหยัดน้ำมัน
สามารถใช้หัวชาร์จไฟฟ้าแบบ CCS Type 2 combo (Combined Charging System) รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง (DC) ชาร์จเร็ว 0%-80 % กำลังไฟสูงสุด 41 kW ประมาณ 35 นาที และการชาร์จแบบไฟบ้าน (AC) ชาร์จช้า 0%-100% ประมาณ 6 ชั่วโมง กำลังไฟสูงสุด 6.6 kW วิ่งไกลสุดในโหมด EV ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งถึง 150 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (เดิม 201 กิโลเมตร NEDC)
ทั้ง 2 ขุมพลังมาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ DHT มี 2 ระบบเกียร์ (1 ระบบเกียร์ที่ด้านเครื่องยนต์และอีก 1 ระบบเกียร์ที่ด้านมอเตอร์ขับเคลื่อน) ขับเคลื่อนล้อหน้า เร้าใจยิ่งขึ้นด้วยโหมดการขับขี่เลือกได้ถึง 4 โหมดทั้งโหมด ECO, Normal, Sport, Snow ส่วนรุ่น Plug In Hybrid เพิ่มโหมด EV เข้ามาอีก 4 โหมด ECO, Normal, Sport, Snow ทำให้มีโหมดการขับขี่มากสุดถึง 8 โหมด
ช่วงล่างที่มีการพัฒนาใหม่เพื่อตอบโจทย์ความชื่นชอบและการขับขี่ของคนไทยมากยิ่งขึ้น กับระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์
ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าปรับ 3 ระดับที่จะช่วยให้ทุกการขับขี่ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วย อีกทั้งยังมี ระบบเบรกหน้าและหลังแบบดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน สามารถระบายความร้อนและระบายน้ำได้ ตอบสนองต่อการหยุดรถได้เป็นอย่างดี พร้อมความปลอดภัยอัจฉริยะมากกว่า 31 รายการทั้ง
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA)
- ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS)
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI)
- สัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกรถกระทันหัน (ESS)
- เตือนตามเครื่องหมายจราจร (TSR)
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า (FCW)
- ช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
- ช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
- ช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 (SCM)
- ช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่
- การแจ้งเตือนการขับรถเร็วเกินกำหนด
สำหรับนรุ่น Plug in Hybrid ULTRA เพิ่ม 8 ระบบความปลอดภัยเพื่อมอบความมั่นใจที่มากกว่า ทั้ง ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IIP) ช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (MEB) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA) ช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW) ช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB) และแจ้งเตือนการเปิดประตู (DOW)
พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง เซนเซอร์กระยะการจอดรถหน้าและหลังฝั่งละ 6 จุดในรุ่น Plug In Hybrid ULTRA และด้านหลัง 4 จุดในรุ่น Hybrid PRO และ Plug In Hybrid PRO ลดความเสี่ยงที่จะพลิกคว่ำ (ARS) ช่วยออกตัวบนทางชัน และลงทางลาดชัน (HSA / HDC) ลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก (BOS) สัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกรถกระทันหัน (ESS) เปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home) และถุงลมนิรภัย 6 จุดรอบคัน
GWM HAVAL H6 มีสีภายนอกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเทา สีดำ และสีขาว ภายใน สีดำ โดยมี 3 รุ่นย่อยทั้งรุ่น รุ่น Hybrid PRO, รุ่น Plug-in Hybrid PRO และรุ่น Plug-in Hybrid ULTRA เปิดราคาจำหน่ายในวันที่ 24 มีนาคม