LEXUS ค่ายรถหรูเลือกงาน Shanghai Auto Show 2025 เปิดตัวครั้งแรกในโลกกับ LEXUS ES เจเนอเรชันที่ 8 ครั้งแรกที่มาครบทั้งฟูลไฮบริดและอีวีล้วน
LEXUS ES เจเนอเรชันที่ 8 มาในรหัสตัวถัง XZ20 ใหม่หมดทั้งคันห่างจากเจเนอเรชันที่ 7 รหัส XZ10 เพียง 7 ปี
ดีไซน์ภายนอกถอดแบบมาจากต้นแบบรุ่น LF-ZC ด้วย กระจังหน้าแบบ Spindle Grille ที่ปรับให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมเส้นสายที่เชื่อมต่ออย่างเป็นธรรมชาติจากฝากระโปรงมีขอบไปยังมุมกันชนทั้งสี่ด้าน พร้อมคิ้วใต้โลโก้ ในรุ่น HEV
ชุดไฟหน้า LED รูปทรงตัว L หรือ Twin L Signature Lamp ที่มาพร้อมไฟ LED Daytime Running Lights และไฟเลี้ยววิ่งรวมอยู่ในโคมเดียวกัน ถัดลงมาเป็นไฟหน้า LED ทรงกลม 2 ดวงซ้าย-ขวาในโคมเล็กใต้ชุดไฟ DRL และมีไฟตัดหมอกหน้า LED เข้ามาในชุดกันชนหน้าพร้อมช่องระบายอากาศทรงสามเหลี่ยม มีลายเกล็ดทรงเหลี่ยมจตุรัสถึง 11 จุดอยู่มุมขอบช่องระบายอากาศซ้าย-ขวาแถมติดตั้งชุด ADAS
ด้านข้างดีไซน์เพรียวบางด้วยหลังคารถที่ลาดลงโค้งมนคล้ายรถคูเป้ ฉีกความเป็นรถเก๋งทรงสามกล่องดั้งเดิมผสานเข้ากับรูปทรงตัวถังหลักได้อย่างลงตัว มาพร้อมหลังคากระจกพาโนรามิกแบบเต็มบานและครึ่งบานหน้ากันรังสี UV ได้ถึง 99% เสาอากาศครีบฉลาม กระจกมองข้างทรงสปูน กระจกรถแบบโอเปร่าพร้อมกรอบโครเมียม ที่เปิดประตูแบบซ่อนที่จับดีไซน์เนียนเรียบเข้ากับตัวรถ คิ้วกันกระแทกสีดำบริเวณประตูรถรูปตัว L พาดยาวจากบนลงล่างอย่างกลมกลืน
ดีไซน์ด้านหลังที่หรูหราเป็นเอกลักษณ์ พร้อมชุดไฟท้าย L-Signature Lamp แบบ LED เริ่มที่ไฟท้าย แบบ LED พาดยาวเต็มความกว้างพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED อยู่ในกระจกท้าย เพื่อการจดจำที่เด่นชัด พร้อมตราตัวอักษร Lexus ขนาดใหญ่ติดท้ายรถฝังในชุดไฟท้าย พร้อมกันชนหลังตกแต่งด้วยไฟท้ายรูปตัว L แนวตั้งพร้อมไฟตัดหมอกหลังมุมไฟท้ายด้านซ้ายติดกรอบโครเมียมเส้นแนวนอนรวมถึงคิ้วชายล่างใต้กันชนหน้าและด้านข้างในบางรุ่น บ่งบอกความลักชัวรีมาอย่างหรู
ล้ออัลลอยหลายขนาดตั้งแต่ขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 235/60R18 ขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/55R19 และขนาด 21 นิ้วพร้อมยาง 235/45R21 ตัวรถยังใช้พื้นฐาน TNGA-K ใหญ่ขึ้นทุกมิติตั้งแต่
- ความยาว 5,140 มิลลิเมตร (เพิ่มจากเดิม 165 มิลลิเมตร)
- ความกว้าง 1,920 มิลลิเมตร (เพิ่มจากเดิม 55 มิลลิเมตร)
- ความสูง 1,555-1,560 มิลลิเมตร (เพิ่มจากเดิม 110-115 มิลลิเมตร)
- ระยะฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร (เพิ่มจากเดิม 80 มิลลิเมตร)
- น้ำหนักรถ 1,785-1,935 กิโลกรัมในรุ่น HEV และ 2,105-2,285 กิโลกรัมในรุ่น BEV
ภายในฉีกความเป็น ES เดิมๆออกไปเริ่มที่ชุดจอสัมผัส “LexusConect Multimedia” ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าขนาด 14.6 นิ้วแบบจอคู่และจอเดี่ยว 12.3 นิ้ว แบบลอยตัวพร้อม Liquid Crystal เทคโนโลยีเคลือบผิวพิเศษ มาตรวัดความเร็วแบบดิจิทัล TFT ขนาด 12.3 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านติดตราอักษร LEXUS แบบ Logo Lettering แทนโลโก้ L และจอแสดงผลเหนือแผงหน้าปัด head-up display ในชุดคอนโซลด้านหน้าออกแบบภายใต้แนวคิด TAZUNA COCKPIT เน้นให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง ใช้ได้งานอย่างเป็นธรรมชาติ
แผงประตูแผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยวัสดุหุ้มหนังทับลายไม้ไผ่ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เบาะนั่งหรูด้วยหนังคุณภาพปรับไฟฟ้า พร้อม Lumbar Support แบบไฟฟ้า Seat Ventilator เบาะนั่งผู้ขับพร้อมระบบความจำ 2 ตำแหน่ง พร้อมแพ็คเกจเสริม “Premium Seat” มาพร้อมเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังปรับพนักพิงไฟฟ้าพร้อมที่รองขา แผงควบคุมระบบสัมผัสแบบดิจิทัล Capacitive Touch Controller บริเวณที่ท้าวแขน เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าเลื่อนไปข้างหน้าและพับพนักพิงศีรษะลงเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับแพ็คเก็จ “Comfort Front Passenger”
ไฟสร้างบรรยากาศภายใน Ambient Light บริเวณคอนโซลหน้า แผงประตู และช่องแอร์หลัง จอสัมผัสสามารถรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto รวมถึงอัพเกรด Data Communication Module (DCM1) โมดูลที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลของตัวรถทำให้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทในรถได้ผ่านทางแอป Lexus Link+ รวดเร็วขึ้นโดยเป็นแอปสำหรับแจ้งสถานะตัวรถสั่งล็อกหรือปลดล็อกรถได้ผ่านทางสมาร์ทโฟนได้เต็มรูปแบบ
ใส่ที่วางแก้วข้างคันเกียร์ทรงจิ๋วไว้สองจุดที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สายอยู่ตำแหน่งหน้าคันเกียร์ในชุดคอนโซลเกียร์ ลำโพงระดับพรีเมี่ยมรอบทิศทางจาก Mark Levinson 10 จุด เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold ช่องเชื่อมต่อ USB Type-C
ไฟสร้างบรรยากาศที่มีให้เลือก 64 สี 14 รูปแบบเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ 3 โซนทั้งซ้าย-ขวาและด้านหลัง พร้อมระบบฟอกอากาศ nanoe™ X ม่านบังแดดกระจกหลังปรับไฟฟ้า ม่านบังแดดประตูหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ พร้อมที่บังแดดคู่ติดตั้งไฟ LED และกระจกแต่งหน้า พร้อมสีภายในทั้ง สีเขียวใหม่ Aotake สีขาว สีดำและสีน้ำตาล
ขุมพลังในรุ่น ES300h มีด้วยกันถึง 2 ทางเลือกเริ่มที่ขุมพลังใหม่เบนซินขนาด 2.0 ลิตร รุ่น M20A-FXS พร้อมระบบฉีดจ่ายน้ำมันโดยตรง D-4S direct injection ควบคุมการเปิด-ปิด วาล์วไอดี VVT-iE electric variable valve timing 151 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาทีแรงบิด 190 นิวตันเมตรที่ 4,400- 5,200 รอบต่อนาที
จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้ากำลัง 109 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ทำงานร่วมกันให้พลังมากสุด 197 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 9.4 วินาที ขับเคลื่อนล้อหน้า
และเบนซิน Hybrid 2.5 ลิตร รุ่น A25A-FXS VVT-iE 178 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิด 221 นิวตันเมตรที่ 3,600-5,200 รอบต่อนาที ในภาคเครื่องยนต์ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตรและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 201 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.3-8.5 วินาที ให้เลือกทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ Direct 4
รุ่น ES350h เบนซิน Hybrid 2.5 ลิตร รุ่น A25A-FXS VVT-iE ให้กำลังถึง 190 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 239 นิวตันเมตร ที่ 4,300-4,500 รอบ/นาทีในภาคเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าแบบ 5NM ให้กำลัง 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าหลังแบบ 4NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ Hybrid แบบลิเธียมไอออนทำงานร่วมกันได้กำลังสูงถึง 247 แรงม้าแรงบิด 315 นิวตันเมตรจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.8-8.0 วินาที ให้เลือกทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ Direct 4
มีขุมพลังไฟฟ้าล้วนถึง 2 รุ่นด้วยความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไออนขนาด 76.96 kWh เริ่มที่รุ่น ES350e ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าให้กำลัง 224 แรงม้า แรงบิด 267 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.9 วินาที วิ่งไกล 685 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 661 กิโลเมตร (NEDC)
และรุ่น ES500e ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังรวม 343 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.9 วินาที วิ่งไกล 610 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 588 กิโลเมตร (NEDC) ทั้ง 2 รุ่นชาร์จได้ทั้งแบบกระแสตรง DC รองรับกำลังการชาร์จสูงสุด 150 kW 10-80% ภายใน 30 นาทีและชาร์จกระแสสลับ AC 11 kW ได้ แถมมี Vehicle-2-Load (V2L) สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบบ DIRECT4 ที่มีระบบส่งกำลัง eAxle แบบกระจายแรงบิดโดยกระจายน้ำหนักของล้อทั้งสี่ได้ตั้งแต่ 0-100 สามารถตั้งได้หลากหลายทั้งแบบ 20/80, 50/50 และ 75/25 ตามลำดับและขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมช่วยเหลือผู้ขับขี่ Lexus Safety System+ อัปเกรดใหม่ทำงานละเอืยดขึ้นฉับไวขึ้น
LEXUS ES เจนใหม่มีสีภายนอก 7 สี เตรียมขายญี่ปุ่นต้นปี 2026 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน-พฤษภาคม) ส่วนตลาดต่างประเทศกลางปี 2026 ด้านเมืองไทยพบกันแน่นอนแต่ตอนนี้เตรียมเผยรุ่นปรับโฉมครั้งสุดท้ายของเจนที่ 7 คาดมาปลายปีนี้
ที่มา LEXUS