ในที่สุด Toyota เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ Toyota RAV4 เจเนอเรชันที่ 6 ที่เป็นครั้งแรกของการทำตลาดเน้นไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด
Toyota RAV4 เจเนอเรชันที่ 6 ที่สาวกพี่โตพร้อมจ่ายเงินเป็นเจ้าของไว้สักคันกับหน้าตาดีไซน์คล้ายกับเพื่อนร่วมค่าย
หน้าตาดูๆไปคล้าย Toyota Corolla Cross พองลมขยายใหญ่เริ่มที่หน้าตาใหม่สไตล์พี่โตด้วยกระจังหน้าแบบ Hammerhead กริตเตอร์ขอบใหญ่ปีกซ้ายขวาดีไซน์เอกลักษณ์พร้อมตราโลโก้สอดรับกับชุดไฟหน้า LED Projector พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED รูปตัว C และไฟเลี้ยววิ่งในชุดโคมไฟหน้า
ชุดกันชนหน้ามีช่องระบายอากาศขนาดใหญ่แบบรังผึ้งด้านล่างใต้ตำแหน่งป้ายทะเบียนพร้อมช่องระบายอากาศทรงสามเหลี่ยมและการ์ดเสริมสีเงินและสเกิร์ตใต้กันชนสีดำและมีไฟตัดหมอกหน้า LED
ด้านข้างเท่ด้วยหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ราวหลังคาบิ๊วอิน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวทรงสปูน ที่เปิดประตูดึงก้านสีเดียวกับตัวรถ ไฟท้าย LED Light Guiding สีขาวแดงแนวยาว ไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED กันชนหลังทรงสปอร์ต ราวหลังคา ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าเซนเซอร์เปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Kick activated
ล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/65R17 ขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 225/60R18 และใหญ่สุด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R19 และขนาด 20 นิ้ว โดยยังคงเป็นพื้นฐาน TNGA-K (GA-K) Platform เช่นเดิม
นอกจากรุ่น CORE แล้วยังมีรุ่น Adventure (Woodland) เน้นลุยกระจงหน้าทรงทึบติดตราสามห่วง ราวหลังคาแบบมีช่องติดตั้งแร็คหลังคา คิ่วขอบล้อหนาทรง 5 เหลี่ยม และรุ่น GR Sport ผสมผสานความเป็น Toyota GR Corolla และรถไฟฟ้าตระกูล bZ Series
ภายในในส่วนคอนโซลหน้าทรงดุดันเหลี่ยมๆเท่ๆพร้อมมาตรวัดความเร็วดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.5-12.9 นิ้ว แบบลอยตัว พร้อมระบบนำทาง รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH
พวงมาลัยปรับไฟฟ้าพร้อมระบบความจำและเลื่อนอัตโนมัติขณะเข้า-ออกจากตัวรถ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 3 โซน ปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา และหลัง ลำโพง JBL ช่องเสียบ USB Type-C รวม 4 จุด (หน้า 2 จุด หลัง 2 จุด) กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ เครื่องปรับอากาศปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวาพ่วงการทำงานของระบบฟอกอากาศ Nanoe X จอแสดงข้อมูลการขับขี่เหนือแผงคอนโซลหน้า HUD
เบาะนั่งหุ้มวัสดุหนังแท้ Smooth Leather และหนังสังเคราะห์ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อม Lumbar Support แบบไฟฟ้าและ Seat Ventilator เบาะนั่งผู้ขับพร้อมระบบความจำ 2 ตำแหน่ง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับตำแหน่งด้านข้างพนักพิง Seat Ventilator และตอนที่ 2 พับได้แบบ 60/40 เพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกของโดยพื้นที่ด้านท้ายขยายเป็น 749 ลิตร
รุ่น GR Sport สะท้อนสปอร์ตด้วยการตกแต่งแผงคอนโซลหน้าสีดำ Piano Black พวงมาลัย และเบาะหนัง BRIN NAUB® และหนังสังเคราะห์ พร้อมสัญลักษณ์ GR บริเวณพนักพิงศีรษะ เดินตะเข็บด้ายสีแดง พนักพิงศีรษะและฐานก้านพวงมาลัยตกแต่งด้วยโลโก้ GR และรุ่น Adventure (Woodland) มาด้วยโทนสีดำสี้ม
ขุมพลังครั้งนี้เน้นทำตลาดทั้งฟูลไฮบริดและปลั๊กกินไฮบริดเริ่มที่ฟูลไฮบริดเจนที่ 5 ด้วยเบนซิน Dynamic Force Hybrid ขนาด 2.5 ลิตร VVT-IE รหัส A25A-FXS ให้กำลังถึง 186 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,600-5,200 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีแรงดันไฟฟ้า 251.6 V ความจุไฟฟ้า 4 Ah (1.006 kWh)
มี 2 ทางเลือกด้วยรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวขับเคลื่อนล้อหน้าเพลาหน้า 136 แรงม้า แรงบิด 208 นิวตันเมตรให้กำลังรวมถึง 230 แรงม้าและรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ Electronic On-Demand All-Wheel Drive (AWD) กับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่สามที่เพลาล้อหลังให้กำลัง 41 แรงม้า แรงบิด 84 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ที่เพลาหน้า 2 ตัว ให้กำลังรวม 239 แรงม้า
จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Sequential Shift และโหมดการขับขี่ Drive Mode Select (DMS) ให้เลือกทั้ง Sport, Eco, Normal และ EV ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อปรับในส่วนโช้คอัพและปรับแต่งส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อการขับขี่ที่นุ่มเกาะโค้งเยี่ยม
และมีเวอร์ชันปลั๊กอินไฮบริดด้วยเบนซิน Dynamic Force Engine Hybrid 2.5 ลิตร (รหัส A25A-FXS) ให้กำลังถึง 178 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,600-5,200 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว 3NM 204 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตรและ 4NM 22 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อม Sequential Shift 6 สปีด
วิ่งไกลสุดในโหมดอีวีล้วน 100 กิโลเมตร (WLTP) หรือ 118 กิโลเมตร (NEDC) พร้อมความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 22.7 kWh เมื่อทำงานร่วมกันได้กำลังสูงสุด 273 แรงม้าในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD กำลังรวม 324 แรงม้า ชาร์จได้ทั้ง AC รองรับกำลังชาร์จ 11 kW และ DC รองรับกำลังชาร์จ 50 kW โดยชาร์เร็ว 10-80% ภายใน 30 นาที
พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Intelligent all-wheel drive (AWD-i) กระจายแรงบิดแบบ 50% ไปยังล้อหลัง นอกจากนี้ส่งไปยังล้อหน้า เพิ่มประสิทธิภาพในการลุยมากขึ้นพร้อมความปลอดภัยเต็มคัน พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ และความปลอดภัย Toyota T-Mate ที่รวมเอาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS และความปลอดภัย Toyota Safety Sense 4.0 พัฒนาซอฟท์แวร์และฮาร์ทแวร์โดย Arene สามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ด้านหน้าได้แม่นยำมาครบทั้ง
- Automatic High Beam ลดความสว่างของไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่อพบรถสวน
- Dynamic Radar Cruise Control แปรผันความเร็วอัตโนมัติโดยใช้เรดาห์ตรวจจับรถคันหน้า
- Road Sign Assist ช่วยสังเกตป้ายสัญญาณเตือน
- Pre-Collision System with Pedestrian Detection เตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบตรวจจับวัตถุที่อยู่ด้านหน้า
- Lane Departure Alert with Steering Assist ช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมฟังก์ชันหน่วงพวงมาลัยกลับอัตโนมัติ
- Lane Tracing Assist ช่วยรักษาตำแหน่งรถในช่องทาง
- Blind Spot Monitor (BSM) แจ้งเตือนมุมอับสายตา
- Rear Cross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลัง
- Traffic Jam Assist ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ
- Front Cross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะเดินหน้า
- Lane Change Assist ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน
- Front and Rear Parking Assist with Automatic Braking ช่วยจอดหน้าและหลังอัจฉริยะพร้อม ช่วยเบรกอัตโนมัติ
Toyota RAV4 เจนใหม่จำหน่ายทั่วโลกเริ่มที่ญี่ปุ่นขายตั้งแต่ในปีงบประมาณ 2025 (เริ่ม 1 เมษายน 2025 ถึง 31 มีนาคม 2026) ทางด้านออสเตรเลียพบกันครึ่งปีแรกของปี 2026 ยุโรปและสหรัฐอเมริกาพบกันในปี 2026
ที่มา Toyota