หลังจากเปิดเผยข้อมูลว่า MG7 สปอร์ตซีดานเตรียมเปิดตลาดพวงมาลัยขวาที่แรกของโลกที่ออสเตรเลียก็ได้รับความสนใจจากแฟนๆที่ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
MG7 เวอร์ชันพวงมาลัยขวาหมุดมายที่แรกที่ออสเตรเลียได้แรงบันดาลใจของ MG Cyberster มาขัดเกลาจนสมบูรณ์แบบ
หรูด้วยไฟหน้า LED ทรงสปอร์ตด้านหน้าหล่อด้านท้ายทรงเท่ด้วยไฟท้าย LED แนวยาว พร้อมโลโก้ MG กันชนหลังทูโทนติดตั้งลิ้นสปอยเลอร์หลังสีดำครอบทับกันชนและท่อไอเสียคู่สองฝั่งแถมมีสปอยเลอร์หลังที่ออกแบบมาสามารถยกตัวเมื่อความเร็วรถเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และพับเก็บได้เมื่อความเร็วรถลดลงเหลือ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงประตูรถทั้งสี่บานเป็นแบบ Hardtop ไร้กรอบ กับกระจกรถโอเปร่าล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้วพร้อมยาง 225/50R18 กับ 19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 245/40 R19 และ 245/40 ZR19
ตัวรถมีความยาว 4,884 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,889 มิลลิเมตร ความสูง 1,447 มิลลิเมตร และฐานล้อ 2,778 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,570-1,650 กิโลกรัม และความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร
ภายในหรูเท่ตั้งแต่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน คอนโซลหน้าที่มีจอขนาดใหญ่แนวยาว 33 นิ้ว ที่รวมทั้ง มาตรวัดดิจิตอลแบบ LCD 10.25 นิ้ว และจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว รวมไว้ในชุดเดียวกันรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ประมวลผลเร็วด้วยการใช้ชิปคุณภาพ Xiaolong 8155 ควบคุมทั้งโหมดการขับขี่ที่กำหนดเองและช่วยจอดอัจฉริยะ พร้อมลำโพง BOSE 14 จุด จอแสดงข้อมูลเหนือแผงคอนโซลหน้าแบบ AR HUD พร้อมชุดเบาะนั่งหุ้มหนังแบบ Dinamica กับหนัง Nappa ที่มีโทนให้เลือกทั้งสีแดง เขียว และดำ วัสดุหนังผิวสัมผัสคุณภาพสูง พร้อมที่ชาร์จมือถือไร้สายช่องเสียบ USB-C สองจุด
ขุมพลังมีให้เลือกถึงสองแบบตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร รหัส 20A4E ให้กำลังสูงสุด 261 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-3,500 รอบต่อนาที ให้อัตราเร่งแรง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประหยัดน้ำมัน 14.41 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC หรือ 16.13 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน NDEC จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดของ ZF ในรุ่น 405 VGTI
และเบนซินเทอร์โบแปรผัน VGT รหัส 15E4E ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 188 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประหยัดน้ำมัน 16 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC หรือ 17.86 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน NDEC จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด และอาจมีขุมพลังฟูลไฮบริดเข้ามาเสริมตลาดด้วย
ทั้งคู่มาพร้อมโหมดการขับขี่ได้แก่ โหมด Normal, โหมด Eco, โหมด Sport, โหมด Super Sport แรงเหนือชั้น ประหยัดเหลือเชื่อ และปุ่ม X-Mode สามารถเซ็ตค่าต่างๆได้มากกว่า 150 รูปแบบ โดยเซ็ตตั้งค่าทั้งความสามารถเครื่องยนต์ การตอบสนองของพวงมาลัย เสียงท่อไอเสีย มีเฟืองท้ายไฟฟ้า E-LSD กับ mCDC ช่วงล่างอัจฉริยะควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver – Assistance Systems (ADAS) ไม่ว่าจะเป็น
- ช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
- ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ ICA (Intelligent Cruise Assist)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Brake)
- จดจำป้ายจราจร TSR (Traffic Sign Reminder)
- ช่วยจอดอัจฉริยะ PDC (Parking Car Assist Reminder)
นอกจากนี้ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และ ม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
MG7 ห่างหายไปนานถึง 15 ปี จากที่เคยนำพื้นฐานของ Rover 75 มาแปะตรา MG ครั้งนี้ไฉไลยิ่งกว่าโดยเตรียมขายออสเตรเลียช่วงปลายปี2025 ทางด้านเมืองไทยจะนำเข้ามาท้าชนกับ Toyota Camry, Honda Accord, Mazda6, BYD SEAL และ DEEPAL L07 หรือไม่ต้องติดตาม
ที่มา CarEXpert