หลังเปิดตัวขุมพลัง e-Power หรือ EREV สำหรับ Nissan ล่าสุดเปิดตัวพลังใหม่ e-Power เจนที่ 3 ประเดิมด้วย Nissan Qashqai ร่างเจเนอเรชันที่ 3
Nissan Qashqai หน้าเดิมที่เคยใหม่ปรับครั้งแรกในรอบ 4 ปีในรหัส J12 ในร่างเอสยูวีทรงคอมแพ็คพืนฐานเดียวกับ Nissan X-Trail
ตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ลายรังผึ้งขนาดใหญ่พร้อมคิ้วโครเมียมแนวนนอนกับโลโก้ นิสสัน พร้อมชุดไฟหน้า LED ดีไซน์ใหม่ที่ประกอบด้วยส่วนนบนเส้นแนวนอนนั่นคือไฟเลี้ยวและไฟ DRL แบบ LED ทำงานร่วมกับไฟ DRL รูปตัวแอลห้าตัวใต้โคมไฟหน้า LED matrix ทรงสามเหลียมดวงเล็ก ในชุดกันชนหน้าพร้อมช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยมคางหมู และไฟตัดหมอกหน้า LED
ด้านข้างคงเดิมด้วยหลังคารถทรงเรียวพร้อมหลังคาดำ กระจกมองข้างทรงสปูน คิ้วชายล่างประตู ไฟท้าย LED ดีไซน์บูมเมอแรงใหม่ เด่นไม่ซ้ำใคร ประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติ ให้ความสบายในการขนถ่ายสัมภาระ ล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 215/65 R17 ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R18 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/50 R19 และใหญ่สุดลาย Diamond Cut 20 นิ้ว พร้อมยาง 235/45R20 และความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร
ภายในปรับปรุงในส่วนซอฟท์แวร์ระบบจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อเชื่อมต่อผู้ใช้งานกับรถได้อย่างลงตัว อาทิ Google built-in ที่มาพร้อมแอปและบริการของ Google (มีจอสัมผัสขนาด 7 กับ 9 นิ้วให้เลือก) เชื่อมต่อความบันเทิงด้วย Nissan Connect รองรับ Apple CarPlay Android Auto มาตรวัดขนาดใหญ่แบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ 12.3 นิ้ว (มี 7 นิ้วให้เลือก) จอแสดงข้อมูลเหนือคอนโซลหน้าสี head-up display ขนาด 10.8 นิ้ว
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านทรงท้ายตัด พร้อมหุ้มหนังสัมผัส Alcantara ทั้งในคอนโซลหน้า คอนโซลกลางพร้อมที่พักแขน ขอบแผงประตู ชาร์จมือถือไร้สาย wireless charging เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกส่วนซ้าย-ขวา นอกจากนี้ ประตูคู่หลังสามารถเปิดกว้างถึง 90 องศา สามารถเข้าออกได้สบายไร้กังวลแต่อย่างใดและเบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางและเบาะหลังพับได้แบบ 60/40
งานนี้มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของขุมพลังไฟฟ้าขยายระยะทางหรือ EREV (Extended Range Electric Vehicle) หรือ e-Power เจเนอเรชันที่ 3 มาแบบ 5-in-1 เป็นส่วนประกอบหลัก 5 อย่างที่พัฒนาขึ้นใหม่ ได้แก่ มอเตอร์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือเจเนเรเตอร์ อินเวอร์เตอร์ ตัวลดรอบ และระบบเกียร์ ไว้ในตัวเครื่องขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา 1.5 ลิตร 3 สูบ รหัส KH5T ให้กำลังถึง 158 แรงม้าที่ 4,600 รอบต่อนาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 2,400-4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังถึง 205 แรงม้า (เดิม 190 แรงม้าที่ 4,500-7,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 330 นิวตันเมตรที่ 0-3,000 รอบต่อนาที) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single speed constant ratio
โดยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรพัฒนาใหม่ด้วยการใช้แนวคิดการเผาไหม้ STARC ทำให้สามารถรักษาเสถียรภาพของการเผาไหม้ภายในกระบอกสูบและประสิทธิภาพความร้อนได้ถึง 42% เครื่องทำงานได้เงียบและมีประสิทธิภาพแม้ที่ความเร็วต่ำ ยังใช้เทอร์โบลูกใหม่ขนาดใหญ่และอัตราส่วนการลดรอบสุดท้ายเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด จึงสามารถลดความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่ความเร็วสูงได้ประมาณ 200 รอบต่อนาทีเมื่อเทียบกับ Qashqai e-Power เจนที่ 2
พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุเดิม 2.1 kWh ทำงานร่วมกันเน้นให้มอเตอร์ขับเคลื่อนและเครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟเท่านั้น พร้อมกันนี้ยังติดตั้งระบบ e-Pedal ซึ่งใช้คันเร่งในการกดเร่งแซงและชะลอความเร็วในชุดเดียวกันสามารถชะลอหยุดจนถึงจุดหยุดนิ่งคิดเป็นแรงจีมากถึง 0.2 G แต่ไม่ถึงหยุดสนิท พัฒนาให้แรงขึ้นมีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงมากถึง 16% ในยามขับขี่ในเมือง และดีขึ้น 14% เมื่อขับทางไกลต่างจังหวัด ไม่ง้อที่ชาร์จไฟฟ้า ด้วยจุดเด่น 5 ประการ ดังนี้
- ประหยัดขึ้นถึง 22.22 กิโลเมตรต่อลิดร (WLTP)
- น้ำมัน 1 ถังวิ่งไกลสุด 1,200 กิโลเมตร
- ปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำเพียง 102 กรัมต่อกิโลเมตร (เดิม 116 กรัมต่อกิโลเมตร)
- ความเงียบในห้องโดยสารลดลง 5.6 เดซิเบล
- เพิ่มกำลังในโหมด Sport อีก 14 แรงม้า
ด้านการบำรุงรักษาตามระยะทางด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยืดอายุการใช้งานมากขึ้นเป็นทุกๆ 20,000 กิโลเมตร (เดิม 15,000 กิโลเมตร)และยังใช้น้ำมันเครื่องเกรด 0W16 ช่วยลดแรงเสียดทานของเครื่องยนต์ พร้อมความปลอดภัยทั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ผู้ขับกำหนดเอง พร้อมเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB เวอร์ชันใหม่ และเพิ่มรักษาช่องทางฉุกเฉิน lane keeping system ในรุ่นเริ่มต้นจากเดิมมีให้ในรุ่นกลางและรุ่นท็อป
Nissan Qashqai e-Power ประกอบที่อังกฤษที่โรงงานในเมือง Sunderland โดยมีสีภายนอกทั้ง สีขาวมุก Pearl White, สีฟ้า Deep Ocean, สีแดง Fuji Red, สีทูโทนหลังคาดำมีทั้ง สีน้ำเงิน Magnetic Blue และสีเทา Ceramic Grey โดยอังกฤษขายทั้งหมด 5 เกรดความหรูตั้งแต่รุ่น Acenta Premium, N-Connecta, N-Design, Tekna และ Tekna + เตรียมขายยุโรปตั้งแต่ กันยายน นี้
ที่มา Nissan