หลังจากได้ชม Face2Face รถอเนกประสงค์ที่กำลังได้รับความสนใจจากชาวไทยทั้งรถเอสยูวีเล็ก รถพีพีวี และรถไฟฟ้า จากค่ายรถชั้นนำมาแล้ว
คราวนี้ก็มาถึงคิวรถยนต์เอสยูวีระดับคอมแพ็คหรือ Compact SUV ที่ช่วงนี้ต้องให้ยกให้ความนิยมของ HAVAL H6 HEV ที่ยังสม่ำเสมอดีวันดีคืนกับยอดขายอันดับ 1 จนคู่แข่งยังต้องอิจฉาแต่งานนี้ HAVAL เตรียมป้องกันแชมป์ด้วยการเปิดตัว HAVAL H6 PHEV เอสยูวีที่พกถ่านก้อนใหญ่มากและเสียบปลั๊กได้ Plug In Hybrid เปิดตั้งแต่ปีกลายและเตรียมออกจำหน่ายกลางปีนี้นอกจากนี้เพื่อนร่วมชาติอย่าง MG ก็ไม่น้อยหน้าขอต่อกรด้วยการปรับโฉม MG HS PHEV รวมถึงรุ่นเบนซินเทอร์โบ โดยเปิดตัวในไทยที่แรกของโลกที่เป็นพวงมาลัยขวาเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น ทำให้เราจึงต้องจับเอสยูวีคอมแพ็คพลังเสียบปลั๊กจากแดนมังกรสองรุ่นมา Face2Face กันทั้ง MG HS PHEV VS HAVAL H6 PHEV
ภายนอกเดิมแต่ปรับหล่อเข้ากับตัวตน
MG HS PHEV รุ่น X ปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 2 ปี ออกแบบให้มีความโดดเด่น ผสานทั้งความหรูหราและความสปอร์ตอย่างลงตัวด้วย กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตั้งแต่กระจังหน้า DNA ใหม่ สี 2-Tone ดีไซน์ Digital Burning Grille กันชนหน้า กันชนท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมท่อไอเสียคู่ ไฟหน้าแบบ QUAD LED Projectorไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ไฟท้ายแบบ Full LED ไฟ Welcome Light สปอยเลอร์หลังพร้อมราวหลังคา ฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า มีฟังก์ชั่นปรับระดับสูง-ต่ำ พร้อมสั่งการผ่านทางรีโมทคอนโทรล ล้ออัลลอยด์ BI-COLOUR ดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/50 R18 มิติตัวรถใหญ่ทุกมิติตั้งแต่ความยาว 4,574มม. ความกว้าง 1,876 มม. ความสูง 1,664 มม. ฐานล้อ 2,720 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 145 มม. และความจุถังน้ำมัน 37 ลิตร
ทางด้าน HAVAL H6 PHEV เปิดตัวในไทยเป็นที่แรกของโลกหน้าตาที่แตกต่างจาก HAVAL H6 Hybrid ตั้งแต่ กระจังหน้าขนาดใหญ่สีดำดุดันและแข็งแกร่งแต่ดันไปคล้ายกับ Peugeot 3008 รับกับล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R19 ไฟหน้า Intelligent LED Headlamp ดีไซน์ล้ำสมัย และไฟท้าย LED Taillight Strip เป็นแนวยาวพาดจากซ้ายจรดขวา เติมเต็มความหรูหราด้วยหลังคาพาโนรามิกซันรูฟสุดหรู ขนาด 1.2 เมตร ส่วนมิติตัวรถยังไม่มีการเปิดเผยแต่ยังสร้างบนแพลตฟอร์ม GWM LEMON แพลตฟอร์มโมดูลาร์อัจฉริยเช่นเดิม
ภายในหรูมีสไตล์
MG HS PHEV รุ่น X ตกแต่งด้วยสี 2-Tone Monaco Blue ใช้วัสดุบุนุ่มแบบ Soft Touch ให้ความรู้สึกหรูหราและพรีเมี่ยมในทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่นที่ให้ทั้ง ความสะดวกสบายและคุณค่าระหว่างการขับขี่ที่ครบครัน ภายในมีทั้งสีดำ และ 2-Tone ขาว – น้ำเงิน เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ใช้วัสดุ Alcantara เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะหลังพับได้ 40/60 พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) หลังคา Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ Interactive Ambient Light ในห้องโดยสาร ปรับได้ 64 เฉดสี หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว หน้าจอกลาง แบบ Multi-Function Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว ระบบเสียง Surround เหนือระดับ กับ BOSE 8.1 Sound System ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แบบ Dual Zone ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ระบบกรองอากาศ PM 2.5 กระจกมองหลังตัดแสงแบบอัตโนมัติ ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start NVH Luxury Silence Space และแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร ระบบเชื่อมต่อมัลติมิเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Andriod
ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ที่ช่วยยกระดับคุณค่าและประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์เอ็มจี รวมถึงการเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ให้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมเทคโนโลยี Digital Key และล่าสุดกับ AR NAVIGATION ระบบนำทางเสมือนจริง ที่จะทำให้ทุกการเดินแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ส่วน Haval H6 PHEV คล้ายกับรุ่น Haval H6 HEV รุ่น ULTRA ตกแต่งด้วยสีทูโทนดำ-เทา ภายใต้แนวคิด “Future Intelligent Cockpit” ที่มีชุดเกียร์ไฟฟ้า Electronic Shifter ดีไซน์หรู พร้อมสีพิเศษแบบ High-gloss ที่ช่วยเติมสีสันและความหรูหราให้กับห้องโดยสาร รวมไปถึงการเชื่อมต่อหน้าจอกลางอัจฉริยะแบบ Touch Screen Audio Display 12 นิ้ว ที่เพียงแค่สแกน QR CODE ก็สามารถเข้าถึงความบันเทิงเต็มรูปแบบได้อย่างครบครันทั้ง MP3 JOOX และระบบนำทาง พร้อมลำโพง 8 ตัว พร้อม Treble Woofer และ DTS พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา ระบบกรองอากาศ PM 2.5
รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้ง Wireless Charger กุญแจ Smart Key ระบบ Push Start และประตูท้ายที่สามารถเปิด – ปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า และระบบ Kick Sensor อีกทั้งยังมีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย แผงมาตรวัดดิจิตอลลอยตัว 10 นิ้ว จอแสดงผลแบบ Head Up Display (HUD) แสดงภาพข้อมูลการขับขี่ครบครัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้านพร้อม Paddle Shift เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางในส่วนคนขับ และไฟฟ้า 4 ทิศทางในส่วนคนนั่ง เบาะหลังพับได้ 40/60 สร้างบรรยากาศอบอุ่นภายในห้องโดยสารด้วยไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร Ambient Light
ขุมพลังติดถ่านก้อนกลางแบบเสียบปลั๊ก
MG HS PHEV รุ่น X มาพร้อมขุมพลังเดิมเบนซินเทอร์โบ 1.5 15E4E 162 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตัเมตร ที่ 1,700-4,300 รอบ/นาที พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า สมรรถนะสูงแบบ Hairpin Winding Technology ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตรและ แบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ขนาด 16.6 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากสุด 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด EDU II มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco โหมด Sport เสริมด้วยปุ่ม Super Sport เพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น และโหมด EV
ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.5 วินาที และสามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้า 100% ได้ถึง 67 กิโลเมตร มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Coolant System)แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย AMERICAN UL2580 และมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ระบบการบริหารพลังงานไฟฟ้าและสร้างกระแสไฟฟ้าจากเครื่องยนต์กลับสู่แบตเตอรี่ (Battery Management System)
Haval H6 PHEV พกขุมพลังยกชุดจากเวอร์ชั่น HEV ด้วยเบนซิน 1.5 Turbo GW4B15 GDIT EVO 150 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 230 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบ/นาที มาพัฒนาเพิ่มพลังมากขึ้น ชาร์จได้มากขึ้นและวิ่งไกลสุดมากขึ้นด้วย ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าและเพลาขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิกส์แบบ Multi-mode DHT และความจุแบตตอรี่ มากถึง 41.5 kWh ให้กำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุดถึง 530 นิวตันเมตรรองรับการขับขี่ที่หลากหลาย ช่วยประหยัดน้ำมัน พร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 8 โหมดทั้งโหมด Hybrid 4 โหมด = ECO, Normal, Sport, Snow และโหมด EV = ECO, Normal, Sport, Snow รวมถึงโหมดการขับขี่แบบไฟฟ้า 100% ที่วิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 201 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
สำหรับช่วงล่างของเอสยูวีแดนมังกรทั้งสองรุ่นเหมือนกันทั้งช่วงล่างด้านหน้าแบบ แมคฟอร์สันสตัรท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังมาแบบอิสระมัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง และพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า
ความปลอดภัยสูสี
MG HS PHEV รุ่น X ปลอดภัยรอบคันมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System มากถึง 26 ระบบ โดยแบ่งออกเป็นระบบความปลอดภัย เชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรก และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ จำนวน 14 ระบบ และความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ช่วยควบคุมการขับขี่และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทั้งด้านหน้าและด้านท้ายรถ ซึ่งเทียบเท่ากับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 2 (Autonomous Level 2) รวมกันกว่า 12 ระบบ ได้แก่ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection), ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert), ช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning), ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist), ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning), ช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist), ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning), เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control), ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Brake)
นอกจากนี้ ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และ ม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ และโครงสร้างตัวถังนิรภัย (Full Space Frame)
ทางด้าน Haval H6 PHEV ยกชุดมาจากรุ่น H6 HEV ULTRA ด้วยการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัย (Driver Assistance and Safety Systems) สำหรับการขับขี่แบบอัตโนมัติในระดับ 2+ เริ่มที่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) แบบ Stop & Go , ควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA), เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) มาพร้อมระบบการตรวจจับคนเดินถนน และทางแยก, ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA), ช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK), ช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS), การเข้าโค้งอัจฉริยะ เมื่อระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ทำงาน, ตรวจจับและตีความหมายป้ายจราจร (TSR), กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา, ช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW)
และที่หนือกว่า MG HS PHEV รุ่น X นั่นคือ ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IAP) เพื่อเข้าจอด ทั้งแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวเฉียง รถจะทำการจอดด้วยตัวเองด้วยการควบคุมพวงมาลัย เบรก และคันเร่งและระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) พร้อมออพชั่นความปลอดภัยอื่นๆตั้งแต่ ระบบควบคุุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (VSC) ,วยลงทางลาดชัน (HDC), ช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA), ป้องกันการไหลของรถโดยการเบรกอัตโนมัติ (AVH), ช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก (HBA), ลดความเสี่ยงที่จะพลิกคว่ำ (ARS), ตรวจความดันลมยาง (TPMS) , ช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอัยสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM), ช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD), ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ตัวถังทำจากเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงดูดซับและลดแรงกระแทกเพื่อคุ้มครองผู้โดยสารเป็นหลัก และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
ราคาและสีตัวถังรถ
MG HS PHEV รุ่นปรับโฉม X ท็อปสุด มาในราคา 1,379,000 บาท มาพร้อม 4 สี ทั้ง สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) สีเทา (Metal Ash Grey) และสีแดง (Scarlet Red) ส่วนทางด้าน Haval H6 PHEV ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องราคาละสีภายนอก
เอสยูวีแดนมังกรทั้ง MG HS PHEV VS HAVAL H6 PHEV มีความโดดเด่นทั้งดีไซน์ภายนอก ภายใน ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แต่ขุมพลังที่พ่วงถ่านก้อนกลาง เสียบปลั๊กมาภาษีความแรงนั้นทาง Haval ดูจะโดดเด่นกว่าและระยะทางวิ่งไกลสุดโหมดไฟฟ้าไกลกว่า HS อย่างเห็นได้ชัดถึง 201 กม. จากแผนเดิมที่ HAVAL H6 PHEV ขายช่วงกลางปีนี้แต่ด้วยสถานการณ์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขาดแคลนหรือ Lithium ion Shortages ซึ่งมีกราไฟท์เป็นวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ฯ ตั้งแต่สองเดือนที่ผ่านมา รวมถึงเซมิคอนดั๊กเตอร์ หรือ ชิป chip shortages ขาดแคลนเข้ามาผสมกัน รวมถึงสถานการณ์สงคราม โควิด ฯลฯ ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดตัว Haval H6 PHEV พร้อม ORA Good Cat GT และหยุดการรับจอง Good Cat รุ่นปกติด้วย ทำให้ MG HS PHEV มีภาษีเหนือกว่ากับการส่งมอบตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป