ในที่สุด MG เปิดราคาขายอย่างเป็นทางการสำหรับ MG4 Electric เก๋งแฮทช์แบ็กพลังไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของค่ายที่เป็นขับเคลื่อนล้อหลัง
MG4 Electric หล่อตั้งแต่ไฟหน้า LED ดีไซน์หกเหลี่ยม LED GALAXY TECHNOLOGY MATRIX HEADLIGHTS พร้อมไฟ DRL แบบ LED กับกระจังหน้า ดีไซน์ ‘shark-nosed’ และเส้นแนวตั้ง 2 เส้น Fins รวมอยู่ด้วย โดยรวมด้านหน้ามาในแบบรูปตัว X ล้ออัลลอยและ AERO WHEEL COVER ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/55R17 หลังคาแบบทูโทน พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบ TWIN ARROW WING ไฟท้าย LED แนวตั้งพาดยาวครอบทั้งฝาท้ายแบบ ลาย CGYNUS SYMBOL DECORATIVE LIGHT พร้อมกันชนหลังทรงสปอร์ต
ตัวรถมาจากแพลตฟอร์ม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะสามารถนำไปปรับใช้ร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครอบคลุมหลากหลายเซกเมนต์ หลายขนาด ตั้งแต่รถแฮทช์แบ็ค ซีดานไปจนถึงรถกระบะ รวมถึงรองรับแบตเตอรี่หลากหลายความจุ ตั้งแต่ความยาว 4,287มม. ความกว้าง 1,836 มม. ความสูง 1,516 มม. ฐานล้อ 2,705 มม. และระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มม.
ภายในเรียบง่ายมีสไตล์เน้นการใช้งานที่สะดวกตั้งแต่ คอนโซลกลาง FLOATED CENTRAL CONTROL PLATFORM พร้อมอุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless charger) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน หุ้มหนังปรับ 4 ทิศทางมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์ กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ลำโพง 6 จุด รองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ สมาร์ทโฟนระบบ Android พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB TYPE A และ C ช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12V เย็นสบายด้วยระบบปรับอากาศดิจิตอล พร้อมกรองอากาศ PM2.5 เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลังพนักพิง ปรับ 60:40 โหมด Intelligent Smart Access เมื่อผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งคนขับ เพียงเหยียบเบรกระบบการทำงานของรถจะสตาร์ทอัตโนมัติ
พร้อมระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ยกระดับคุณค่าและประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ (Smart Check) ที่ครอบคลุมระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่และการชาร์จ ไปจนถึงการค้นหาสถานีชาร์จ โดยล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ BATTERY DOCTOR บนแอพพลิเคชั่น MG THAILAND บันทึกและวิเคราะห์ พฤติกรรมการใช้งาน พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งาน ท้ายที่สุด ยังช่วยให้การเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ง่ายยิ่งขึ้นด้วยระบบสั่งการอัจฉริยะ (Smart Command) และ ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Smart Connect)
ขุมพลังไฟฟ้าที่จำหน่ายในไทยเป็นมอเตอรไฟฟ้าเดี่ยว Permanent Magnet Synchronous Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง 170 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 1,000-3,500 รอบ/นาที จากความจุแบตเตอรี่ 51 kWh วิ่งไกลสุด 425 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC โหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL, SPORT, CUSTOM และ SNOW จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single Speed Gear Reduction พร้อมช่วยชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถ ด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 4 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ กลาง สูง และแบบแปรผันตามการขับขี่ (ADAPTIVE)
ชุดแบตเตอรี่มาพร้อมเทคโนโลยี RUBIK’s CUBE BATTERY จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอน ระบายความร้อนได้เป็นอย่างดีด้วยระบบ LIQUID COOLING SYSTEM ตามมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น ง่าย สะดวกสบาย ทุกการชาร์จ ด้วยระบบการชาร์จ 2 รูปแบบ รองรับทั้งแบบ Quick Charge และ Normal Charge โดยชาร์จแบบเร็ว Quick Charge DC กระแสตรง ชาร์จไฟฟ้าจาก 10% – 80% ใช้เวลาประมาณ 35 นาที รองรับการชาร์จสูงสุด 88 kWh และชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge AC กระแสสลับ ผ่าน MG HOME CHARGER 0% – 100% ใช้เวลาประมาณ 8.30 ชั่วโมง รองรับการชาร์จสูงสุด 6.6 kW และรองรับระบบ V2L เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
ด้วยแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อรถไฟฟ้าโดยเฉพาะมาพร้อมการควบคุมที่มั่นใจกับพวงมาลัยรูปแบบใหม่ DUAL PINION ควบคุมด้วยไฟฟ้าให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตรการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ควบคู่กับการออกแบบลักษณะ Low Centre of Gravity ที่ให้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำมากเพียง 490 มม. ความสนุกสนานในการขับขี่ ทั้งอัตราเร่งที่ทันใจ พวงมาลัยที่ตอนสนองฉับไวเข้าโค้ง มั่นใจด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ 5-Link Suspension
โครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) และความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System 26 ระบบ ช่วยเตือนอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา และระบบช่วยควบคุมการขับขี่ ได้แก่ ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold), ป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD, เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist), ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ,ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist), สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System) โดยผสานรวมระบบ LDP (Lane Departure Prevention) LKA (Lane Keep Assist) และ ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) เข้าไว้ด้วยกัน, ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning), ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist), ช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection), ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert), ช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning), ช่วยเบรกขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Braking), เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control), ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System) และช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
นอกจากนี้ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และ ม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) และไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)
NEW MG4 ELECTRIC ประกอบด้วย 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น D ในราคา 869,000 บาท และรุ่น X ราคา 969,000 บาท โดยราคาดังลกล่าวเป็นราคาหลังหักส่วนลดมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีสีตัวถังให้เลือกถึง 5 สี คือ สีฟ้า Brighton Blue สีดำ Black Knight สีแดง Scarlet Red สีเทา Andes Grey และสีขาว Arctic White ตกแต่งภายในด้วยสีดำ (Black) ในรุ่น D และสไตล์ทูโทนเทา-ดำ (Grey & Black) ในรุ่น X