หลังจากเปิดขายที่ญี่ปุ่นได้ไม่นานล่าสุด Mazda เปิดราคาจำหน่ายที่ออสเตรเลียอย่างเป็นทางการสำหรับ Mazda CX-80 เอสยูวีหรูใหญ่ 3 แถวจากพื้นฐานรุ่น CX-60
Mazda CX-80 เอสยูวีหรูลำดับที่สี่ต่อจากรุ่น CX-60 CX-90 และ CX-70 สำหรับตลาดยุโรป โอชิเนีย อาเซียนยกเว้นอเมริกาเหนือ เผยเวอร์ชันพวงมาลัยขวาที่สองของโลกที่ออสเตรเลีย
ทุกอย่างทุกส่วนเหมือนกับรุ่น CX-60 ตั้งแต่กระจังหน้าทรงซิกเนเจอร์วิงแนวเข้ม ไฟหน้า Projector แบบ LED กันชนหน้าทรงเท่คล้ายกับ CX-50 ผสมกับ BT-50 ท่อไอเสียคราวนี้มาในแบบท่อไอเสียคู่สองฝั่งซ่อนอยู่ใต้กันชนหลังและช่องลมข้างบังโคลนแบบโครเมียม
ชุดบังโคลนพร้อมดีไซน์ออกแบบด้วยชุดรังผึ้งส่วนล่างเป็นคิ้วสีดำปักชื่อ INLINE 6 กระจกมองข้างทรงสปูน ราวหลังคาจุดสังเกตคือการออกแบบในส่วนของเสา B ไปจนถึงเสา D ออกแบบประตูหลังขยายความยาวออกไปเพื่อความสบายในการเข้าออก
กระจกเสา D กรอบโครเมียมมีดีไซน์คล้ายรุ่น CX-90 ไฟท้ายคล้ายรุ่น CX-70 แบบ LED Signature ดีไซน์ยาว ล้ออัลลอยมีทั้งขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 235/60 R18 กับล้อขนาดใหญ่ 20 นิ้ว พร้อมยาง 235/50R20 ตัวรถที่ขยาย
- ความยาวเป็น 4,990 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,890 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,710 มิลลิเมตร
- ฐานล้อยาวขึ้น 3,120 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 170 กับ 175 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,084- 2,267 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 70 กับ 74 ลิตร
ภายในหรูเทียบเท่า Mazda CX-60 ด้วยมาตรวัดดิจิทัล TFT-LCD 12.3 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พร้อมระบบ Mazda Connect infotainment รองรับ Apple Car Play ไร้สาย และ Android Auto ผ่านปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander พร้อมลำโพงคุณภาพ BOSE 12 จุด
จอแสดงการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า Windshield Active Driving Display ขนาดใหญ่กว่าถึง 3 เท่า ตกแต่งมาแบบโทนสีใสๆ ด้วยโทนสีขาวหรือสีเทาอ่อน สดใส และสีเข้มด้วยการติดตั้งวัสดุคุณภาพสูงไม่ว่าจะเป็นลายไม้เมเบิ้ลหรือ Mable Wood วัสดุหุ้มหนังแท้ NAPPA รวมถึงการใช้ผ้าทอแบบญี่ปุ่นและการตกแต่งโครเมียม
ให้เลือกทั้งแบบ 6 ที่นั่ง แบบ 2+2+2 พร้อมที่นั่งตอนที่สองมาแบบ Exclusive Captain Seat 2 ที่นั่ง 2 ทางเลือก ได้แก่ ห้องโดยสารแบบ Captain seat แยกอิสระซ้าย ขวา (Captain seats with center walk-through (6-Seat) สามารถเดินเชื่อมได้ถึงเบาะนั่งแถวที่สาม
พร้อมที่วางแก้ว ช่อง USB Type C สำหรับชาร์จไฟ 2 ช่องใต้ บริเวณแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศบริเวณเบาะนั่งแถวที่สองและห้องโดยสารแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง Captain seat ปรับไฟฟ้า (Power captain seats (6-Seat) และมีแบบ 7 ที่นั่ง สามแถวแบบ 2+3+2 ให้เลือก
ขุมพลังยกมาทั้งหมดจากรุ่น CX-60 ตามความเหมาะสมเลือกเริ่มที่ขุมพลังสันดาปล้วน e-SKYACTIV Mild Hybrid 48 V Turbocharged ที่มีทั้งดีเซลเทอร์โบ e-SKYACTIV D 3.3 ลิตร 6 สูบ รหัส T3-VPTH 254 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 550 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,400 รอบต่อนาที
เบนซินล้วน e-SKYACTIV G Turbocharged ขนาด 3.3 ลิตร 6 สูบ ให้กำลังสูงสุด 284 แรงม้าที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตันเมตรที่ 2,000-3,500 รอบต่อนาทีทั้งคู่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 17 แรงม้าที่ 900 รอบต่อนาทีแรงบิด 153 นิวตันเมตรที่ 200 รอบต่อนาที พร้อมความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดเล็กสุด 0.33 kWh
ขุมพลัง Plug In Hybrid e-SKYACTIV มีเฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.5 ลิตร 4 สูบ PY-VPH 188 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาทีทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 175 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 270 นิวตันเมตรที่ 400 รอบต่อนาที
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีความจุ 17.8 kWh วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 61-63 กิโลเมตร และทำงานร่วมกันจะได้พลังมากถึง 328 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที
ทุกขนาดขุมพลังจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 8 สปีด เลือกได้เฉาพาะขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV AWD พร้อมระบบการขับขี่ Mazda Intelligent Drive Select (Mi-Drive) ที่เลือกได้ถึง 5 โหมดได้แก่ Namely Normal, Sport, Off-Road, Towing และ EV
มาพร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการทรงตัวขณะเข้าโค้ง KPC (Kinematic Posture Control) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะช่วยให้รถทำงานผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับตัวรถ พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกหน้ามีขนาด 347 มิลลิเมตร และด้านหลัง 328 มิลลิเมตรและความปลอดภัยสุดล้ำ i-ACTIVSENSE อาทิ
- กล้องรอบคัน 360 องศา 360-degree View Monitor
- แจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตูรถ Vehicle Exit Warning
- ระบบตีความป้ายจราจร Traffic Sign Recognition
- ช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance Advanced Smart City Brake Assist with pedestrian and cyclist detection and intersection function
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติสำหรับถอยหลัง Rear Emergency Brake Assist with pedestrian detection
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist with Steering Assist
- ตรวจจับภาวะหลับในขณะขับขี่ยานพาหนะ Drowsiness Detection
- เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Blind Spot Monitoring
- เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert
- ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ i-Adaptive Cruise Control
- ออกตัวบนทางลาดชัน Hill Launch Assist
- ไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน Emergency Stop Signaling System
- การขับเคลื่อนไม่ทำงานชั่วคราว Unresponsive Driver Support
เซนเซอร์กะระยะด้านหน้า-หลัง 4 จุด สัญญาณไฟกะพริบเมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรกรถอย่างกะทันหัน ESS (EMERGENCY SIGNAL SYSTEM) ถุงลงนิรภัยรอบคัน ช่วยควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control)
ช่วยในการออกตัวรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) ช่วยป้องกันรถเลื่อนไถล TCS (Traction Control System) ระบบควบคุมการเปิดปิดกระจกไฟฟ้าและกระจกมองข้างพับอัตโนมัติหลังล็อกรถ
Mazda CX-80 ขายครบสี่รุ่นรวม CX-60, CX-70 และ CX-90 เปิดราคาที่ออสเตรเลียด้วย 10 รุ่นย่อย 4 เกรดหรูทั้งรุ่น Pure, Touring, GT และ Azami ในราคาไม่รวมค่าใช้จ่ายบนท้องถนน หรือ on-road $54,950-$87,200 หรือราว 1,225,000-1,939,000 บาท
ที่มา CAREXPERT