อีกหนึ่งรุ่นจากค่าย MINI ที่เปิดตัวพร้อมกับ MINI COOPER SE เจนใหม่นั่นคือ MINI Countryman เจนใหม่ที่ครั้งนี้เปิดตัวถึง 2 รุ่น 2 ตัวตน
เริ่มที่ MINI Countryman SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของตระกูลคันทรีแมนในรหัส F65 มาพร้อมกับเอกลักษณ์ด้านการออกแบบใหม่ล่าสุด ผสานความโดดเด่นของรถยนต์แบบออฟโรดอเนกประสงค์ รถยนต์สำหรับครอบครัว และความสนุกสนานของประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้มลพิษเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
ภายนอก Exterior
สืบทอดบุคลิกที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยของคันทรีแมน ด้วยพื้นผิวตัวถังที่เฉียบคม แต่ยังคงกลิ่นอายขององค์ประกอบด้านการออกแบบสุดคลาสสิกของมินิ ทั้งช่วงล้อหน้าและฝากระโปรงหน้าที่สั้น ตัดกับฐานล้อที่ยาว โดดเด่นด้วยกระจังหน้ารูปทรงแปดเหลี่ยมดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟหน้า LED และระบบปรับเปลี่ยนรูปแบบแสงไฟตามโหมด Signature ต่าง ๆ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย Windmill Spoke ดีไซน์ทูโทน พร้อมยาง 245/40R20 โดดเด่นด้วยหลังคาในสีใหม่ Vibrant Silver พร้อม Panorama Glass Roof เข้ากับกรอบกระจังหน้า ฝาครอบกระจกข้าง ล้อ เสา C รวมถึงชิ้นส่วนภายนอกอื่น ๆ ในสีเดียวกัน ขนาดมิติตัวถังและฐานล้อมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า
- ความยาว 4,445 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,843 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,635 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,692 มิลลิเมตร
ภายใน Interior
มาในปรัชญาการออกแบบใหม่โดยบริเวณแผงแดชบอร์ดหุ้มด้วยผ้าถักในสี Dark Petrol รับกับเบาะ John Cooper Works Sport Seats สี Vintage Brown มาพร้อมระบบเสียง Harman Kardon surround sound เพื่อความบันเทิงที่เต็มอิ่มในทุกการเดินทาง พร้อมองค์ประกอบหลักและฟีเจอร์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกับใน มินิ คูเปอร์ เอสอี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 5 อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล OLED ทรงกลม ขนาด 9.44 นิ้ว แบบ MINI Interaction Unit โหมดการใช้งาน MINI Experience ที่มีอีกหนึ่งโหมดพิเศษเพิ่มมาจาก 7 โหมดใน MINI COOPER SE คือ โหมด Trail เน้นความเร้าใจสำหรับสายแอดเวนเจอร์ มาพร้อมฟังก์ชั่นอย่าง เข็มทิศ และกราฟฟิกต่าง ๆ ในระบบ Navigation เสริมฟีลลิ่งแบบออฟโร้ด
และยังมีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant และฟีเจอร์ซอฟต์แวร์อันหลากหลายบนระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 รวมถึงแผงควบคุมดีไซน์ใหม่ในแบบ Toggle Bar ที่รวบรวมทุกฟังก์ชันสำคัญของการขับขี่เอาไว้ในจุดเดียวเพื่อให้ผู้ขับขี่เข้าถึงได้ง่าย
สมรรถนะ Performance
มาพร้อมระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100%แบบมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4 พร้อมแบเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 66.45 kWh ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิด 494 นิวตันเมตร เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ฉับไวใน 5.6 วินาที วิ่งไกลสุด 432 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รองรับการชาร์จไฟแบบ AC สูงสุด 11 kW 0-100% ภายใน 6.15 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 130 kW โดยในโหมด DC จะสามารถชาร์จจาก 10-80% ในเวลาเพียงไม่ถึง 29 นาที นอกจากนี้ แบตเตอรี่รุ่นนี้ยังรองรับการตั้งค่าการชาร์จต่าง ๆ เช่น เวลาชาร์จ ระดับแบตเตอรี่ที่ต้องการ และอื่น ๆ พร้อมการเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่จากหน้าจอมือถือผ่าน MINI App
สำหรับแฟนๆมินิที่ยังหลงใหลเสน่ห์ของขุมพลังสันดาปล้วนยังแนะนำ MINI JOHN COOPER WORKS JCW ให้เป็นเจ้าของในจำนวนจำกัดเพียง 5 คัน ผสมผสานสมรรถนะการขับขี่อันทรงพลังในแบบฉบับของจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ เข้ากับจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยของรถมินิที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ภายนอก Exterior
โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่บ่งบอกถึงบุคลิกที่ดูสปอร์ตและดุดัน สะท้อนให้เห็นจุดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและความอเนกประสงค์ของตัวรถ โดยแผ่นสะท้อนแสงแนวตั้งบริเวณด้านหน้ารถ ยังช่วยเน้นย้ำถึงความกว้างของตัวรถ ไฟหน้า LED มินิดีไซน์ใหม่ พร้อมแถบไฟแนวนอนอันเป็นเอกลักษณ์จากโหมด JCW Signature ยิ่งช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับรูปลักษณ์ของรถยนต์แบบ Sports Activity Vehicle ส่วนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่รูปทรงแปดเหลี่ยมที่ตกแต่งด้วยสีดำ High-gloss Black และโลโก้ JCW ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ช่วยเสริมให้ดีไซน์มีความทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งความมินิมอลที่ทั้งเรียบง่ายแต่โดดเด่น สะกดทุกสายตาบนท้องถนน
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมสีตัวถังสีพิเศษ Legend Grey ซึ่งตัดกันอย่างโดดเด่นกับหลังคาสีแดง Chili Red ที่มาพร้อมกระจก Panorama และกระจกมองข้างสีแดงที่บ่งบอกถึงคาแรคเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ในขณะที่ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย John Cooper Works Flag Spoke ในแบบทูโทน พร้อมยาง 245/45R20 ก็ช่วยดึงความโดดเด่นให้กับตัวรถ ส่วนท้ายรถยังมาพร้อมกับไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ในโหมด JCW Signature อันเป็นเอกลักษณ์ สอดรับกับตัวถังด้านหลังทรงตั้งตรงที่ช่วยตอกย้ำถึงความกว้างของตัวรถ
มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.26 เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นการขับบนท้องถนนหรือเส้นทางออฟโรด
ภายใน Interior
ห้องโดยสารยังได้รับการออกแบบมาเพื่อตอกย้ำถึงความกว้างขวางและโอ่อ่า ตกแต่งด้วยสีแดงและสีดำบริเวณคอนโซล แผงประตู และเบาะนั่งแบบสปอร์ต ที่หุ้มด้วยหนังวีแกน Vescin และเนื้อผ้า ผสมผสานกันออกมาอย่างลงตัวและสะท้อนถึงจิตวิญญาณรถแข่ง โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงสุดตั้งแต่ 505-1,530 ลิตร
ยังมาพร้อมกับหน้าจอกึ่งกลางคอนโซลแบบ OLED ทรงกลม ความละเอียดสูง อันเป็นเอกลักษณ์ของมินิ เจเนอเรชันที่ 5 รองรับโหมดการใช้งาน MINI Experience และแผงควบคุมดีไซน์ใหม่ในรูปแบบ Toggle Bar ที่รวบรวมทุกฟังก์ชันสำคัญสำหรับการขับขี่เอาไว้ในที่เดียว รวมทั้งยังสามารถสั่งงานด้วยเสียง เพื่อควบคุมฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ เช่น ระบบนำทาง โทรศัพท์ และระบบความบันเทิงต่างๆในรถได้เช่นกัน
สมรรถนะ Performance
ยกระดับทุกประสบการณ์การเดินทางให้พิเศษและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณสปอร์ต ด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Twin PowerTurbo รหัส B48A20H ให้กำลังมากถึง 317 แรงม้าที่ 5,750-6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที สู่ล้อทั้งสี่ ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ALL4 ส่งผลให้เร่งความเร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด Steptronic พร้อมความจุถังน้ำมัน 54 ลิตร
ความปลอดภัย Safety ทั้ง 2 รุ่นให้มาอย่างครบครันด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
- ระบบช่วยจอด Parking assistant Plus
- กล้องบันทึกหน้ารถ Drive Recorder
- กล้องรอบคัน Surround View
- เตือนก่อนการชนด้านหน้า Post-Crash Collision Warning (PC iBrake)
- กระจายแรงเบรก Dynamic Brake Control (DBC)
- ควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว Dynamic Stability Control (DSC)
- ถุงลมนิรภัยรอบคัน
สำหรับ MINI Countryman เจนใหม่มาไทยถึง 2 รุ่นย่อยในราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ดังนี้
- MINI Countryman SE ราคา 3,399,000 บาท
- MINI JOHN COOPER WORKS Countryman ราคา 3,999,000 บาท